บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่าง
บทที่ 4 ความรู้สึกบางอย่าง
นับตั้งแต่วันที่องค์หญิงหลินซูมี่ได้หัดชกหุ่นฟาง วันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในวันนี้องค์หญิงก็ต้องกลับไปฝึกวิชาการต่อสู้อย่างอื่นอีกครั้ง
“มี่เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะสอนการใช้กระบี่ ส่วนกระบี่ที่จะให้เจ้าใช้เป็นอาวุธประจำกายนั้น ข้าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับเจ้าที่ฝึกอย่างหนักโดยไม่ปริปากบ่น ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา”
เสวี่ยเยวียนสือกล่าวกับหลินซูมี่อย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นรางวัลในความตั้งใจของนาง เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หยิบกระบี่ออกมามอบให้กับคนตรงหน้า
“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ” หลินซูมี่กล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม และยื่นมือออกไปรับกระบี่
ทันทีที่ได้เห็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก หลินซูมี่ก็รู้สึกหลงใหลกระบี่นี้ไม่น้อยเลย และหลังจากวันนั้นที่ได้รับกระบี่จากเสวี่ยเยวียนสือมา นางก็มักจะนำกระบี่เล่มนี้ติดตัวเสมอ
สองปีผ่านไป…
วันเวลาที่เลยผ่าน ทำให้นางสำเร็จวิชาการต่อสู้หลายแขนงจากแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และในยามนี้เสวี่ยเยวียนสือกำลังจะสั่งสอนวิชากลยุทธ์ทางการทหารให้กับนาง
“ศาสตร์วิชาบทกวีและศาสตร์วิชาศิลปะการต่อสู้ เจ้าก็ได้เรียนรู้หมดแล้ว หลังจากนี้ไป เจ้าจะต้องร่ำเรียนศาสตร์วิชาที่ยากและสำคัญที่สุด นั่นก็คือกลยุทธ์ทางการทหาร หรือก็คือการศึกษาตำราพิชัยสงครามทุกรูปแบบในการรบ ทุกแขนงของการต่อสู้”
เสวี่ยเยวียนสือกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง เมื่อกล่าวจบก็ได้นำตำราพิชัยสงครามเล่มแรก ที่เขาคิดว่าอ่านง่ายที่สุดมาให้เด็กสาว
“ตำรานี้มีชื่อว่ากลยุทธ์ยันต์แปดเหลี่ยม ซึ่งก็คือการวางกำลังรบทั้งแปดทิศ ประกอบไปด้วยพลทหารเกราะหนัก พลทหารธนู พลทหารหอกโล่ พลทหารม้าเกราะหนัก พลทหารม้าธนู พลทหารม้าหอก โดยกองกำลังที่มีจำนวนมากที่สุด คือพลทหารเกราะหนัก และพลทหารม้าเกราะหนัก เนื่องจากทั้งสองหน่วยนี้มีอยู่ด้วยกันอย่างละสองกองพัน”
เมื่อมาถึงตรงนี้เขาก็หยุดครู่หนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายได้จดบันทึก และเมื่อหลินซูมี่เงยหน้าขึ้นเหมือนสื่อว่านางพร้อมจะฟัง เขาจึงอธิบายต่อ โดยพยายามเอ่ยให้ช้าลงเล็กน้อย
“การวางกลยุทธ์ที่สำคัญ ก็คือต้องให้พลทหารหอกโล่ ยืนเป็นกำแพงล้อมรอบ ส่วนชั้นที่สองคือพลทหารเกราะหนัก โดยให้ยืนเรียงซ้อนกัน เพื่อคอยสนับสนุนพลทหารหอกโล่
ต่อมาคือพลทหารธนูที่ต้องคอยเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อลอบโจมตี ถัดไปก็คือพลทหารม้าเกราะหนัก และพลทหารม้าหอกที่ยืนสลับกัน และส่วนชั้นในสุดก็คือพลทหารม้าธนู”
เสวี่ยเยวียนสือเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า
“กลยุทธ์นี้ก็คือให้เหล่าทหารหอกโล่คอยกันศัตรู แล้วให้พลทหารธนูคอยยิงออกไปเพื่อรับศึก พอศัตรูเริ่มลดจำนวนลง ก็ให้ทหารเกราะหนักออกไปต่อสู้ ก่อนที่จะให้พลทหารม้าเกราะหนัก และพลทหารม้าหอกออกไปสู้ สุดท้ายก็ให้พลทหารม้าธนู และพลทหารธนู คอยต่อสู้รั้งท้ายเพื่อสนับสนุน
นี่คือกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด เจ้าจงศึกษาแล้วลองทำความเข้าใจดู เหล่าทหารที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด เจ้าสามารถใช้เป็นตัวหมากในการทดลองได้ หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจ ก็มาถามข้าได้ทุกเมื่อ”
เมื่ออธิบายทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เสวี่ยเยวียนสือก็เดินไปนั่งที่ตำแหน่งของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
ส่วนหลินซูมี่ก็นั่งก้มหน้าก้มตาศึกษาตำราที่ยุ่งยาก และปวดหัวอยู่เพียงลำพัง แต่ถึงอย่างไรในใจของนาง กลับรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้กับบุรุษผู้นี้ ผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจของนางเต้นรัวและสั่นไหวได้
เด็กสาวอ่านตำราแล้วเหลือบมองคนตรงหน้าไปด้วย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำของนาง มันชัดเจนเกินกว่าจะปิดบังได้ จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าถูกแอบมอง
เมื่อเห็นสายตาที่องค์หญิงมองมาคราแรกก็ยังไม่รู้สึกอันใดมากนัก แต่พอคิดได้ว่ายามนี้นางเริ่มเติบโตจนกลายเป็นเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกไปเช่นกัน
เวลานี้หัวใจของแม่ทัพหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้นมา แม้จะพยายามสกัดกั้นความรู้สึกนี้แล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ใสซื่อของนาง ความรู้สึกในใจของเขานั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมา
เสวี่ยเยวียนสือรู้ดีว่าฐานะของตนในหลาย ๆ ด้าน ไม่คู่ควรกับเด็กสาวตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากว่านางเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้น ส่วนเขาแม้จะเป็นแม่ทัพใหญ่และเป็นศิษย์น้องของฮ่องเต้ แต่ก็เป็นเพียงข้ารับใช้ของแผ่นดินเท่านั้น
เขารู้ว่าความสัมพันธ์เช่นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ จึงพยายามกดความรู้สึกที่มีให้จมหายไป
‘เจ้าต้องหยุดคิดได้แล้วนะเสวี่ยเยวียนสือ นางเป็นใคร เจ้าเป็นใคร อีกทั้งยามนี้ถึงแม้ว่าหลินซูมี่จะมีรูปร่างสูงโปร่งและสมส่วนแต่นางเองก็มีอายุเพียงเก้าปีเท่านั้น เจ้าหยุดคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ได้แล้ว’
เสวี่ยเยวียนสือตักเตือนตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาศึกษาตำราของตนเองต่อ
เมื่อหลินซูมี่ศึกษากลยุทธ์ยันต์แปดเหลี่ยมจนเข้าใจแล้ว เมื่อถึงยามเว่ย นางจงเริ่มทดลองจัดทัพทันที
ในการทดลองจัดทัพไม่ว่าจะกี่ครั้ง ฝ่ายของนางแตกพ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าจะพยายามฝึกฝนอย่างหนักและทุ่มเทอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม นั่นจึงทำให้ความรู้สึกของนางท้อถอยลงไปไม่น้อย ทว่าอย่างไรก็ตาม หลินซูมี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ และยังคงฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อวันเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดกองทัพของหลินซูมี่ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสียที โดยในการเดินทัพครั้งนี้ นางสูญเสียหมากไปเกินกว่าครึ่ง
สิ่งนี้สำหรับกองทัพก็ถือว่าย่ำแย่พอสมควร แต่ถ้าหากได้รับชัยชนะมาได้ ก็ถือว่ายังพอจะคุ้มค่าอยู่บ้าง
“เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าเก่ง ที่เอาชัยชนะมาได้ภายในระยะเวลาแค่นี้ แต่ถ้าหากว่านี่เป็นสนามรบจริงป่านนี้เจ้าคงตายไปแล้วกว่าสิบครั้ง”
เสวี่ยเยวียนสือที่เฝ้ามองทุกการกระทำและทุกบทบาทหน้าที่ของหลินซูมี่ในฐานะผู้นำทัพ ก็ได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หลังจากที่องค์หญิงได้รับชัยชนะ
เมื่อได้รับคำชม หลินซูมี่ก็ยิ้มรับอย่างยินดี ตั้งแต่นางรู้จักท่านอาคนนี้มา นี่คือคำชมครั้งที่สองที่นางได้รับ อีกทั้งยังรู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร
แม้ใจเขาอยากจะชื่นชม ก็จะเอ่ยแต่เพียงประโยคเหล่านี้เท่านั้น นั่นเพราะว่าแม่ทัพใหญ่เสวี่ยเยวียนสือ ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไป เขาทั้งเย็นชา ทั้งตายด้าน ทั้งไร้อารมณ์
การที่เสวี่ยเยวียนสือเอ่ยเช่นนี้ออกมา นับว่าเป็นคำชมแล้ว
“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ ที่เอ่ยชม” หลินซูมี่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่สดใส พร้อมกับค้อมศีรษะคารวะท่านอาจารย์ของนางอย่างนอบน้อม
เมื่อเสวี่ยเยวียนสือได้เห็นรอยยิ้มนั้น หัวใจของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เขารู้สึกราวกับว่ามันมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นภายในใจ
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยกลับมาฝึกฝนใหม่”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาหลังจากพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้ว ก่อนจะรีบหันหลังเดินจากไป โดยที่ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มซุกซนของนาง ที่มองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา
ส่วนทางด้านวังหลวง เมื่อฮ่องเต้เห็นว่าบุตรสาวกำลังเดินเข้ามาที่ตำหนัก จึงได้ละทิ้งทุกอย่างและรีบวิ่งเข้ามาหา พร้อมกับเอ่ยถามออกมา
“ลูกรัก เจ้ากลับมาแล้วหรือ วันนี้บาดเจ็บหรือไม่”
ขณะเอ่ยถามสายตาของเขาได้มองนางอย่างพิจารณา ก่อนจะสวมกอดนางไว้อย่างหวงแหน เมื่อรู้หลินซูมี่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นจึงได้หัวเราะอย่างสนุกสนาน เนื่องจากเห็นภาพนี้มาจนชินตาแล้ว
ในสมัยก่อนสามีของนางนั้น คือฮ่องเต้ที่เด็ดเดี่ยวและเย็นชา ไม่ว่าลูกชายกี่คนของนาง ก็ล้วนแล้วแต่ถูกเขาดุด่าและสอนสั่งอย่างเด็ดขาดรุนแรง แต่พอมาเป็นบุตรสาวคนนี้ ฮ่องเต้กลับรักและทะนุถนอมราวกับว่านางเป็นไข่มุกบนฝ่ามือ ที่หากกระทำอะไรรุนแรงไปเพียงนิด ก็พร้อมที่จะแตกสลายได้
ยิ่งนับตั้งแต่วันที่บาดเจ็บกลับมาจากการฝึก ทำให้ทุกครั้งที่กลับมาจากการเรียน หลินซูมี่จะต้องถูกฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างร้อนใจและสำรวจร่างกายของนาง จากนั้นก็จะกอดไว้อย่างหวงแหนเช่นนี้เสมอมา
“ท่านพ่อเจ้าคะ โปรดเลิกทำเช่นนี้เถอะ ยามนี้ลูกก็อายุเก้าหนาวแล้วนะเจ้าคะ เลิกทำเหมือนลูกเป็นเด็กน้อยได้แล้วเจ้าค่ะ” หลินซูมี่เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่าย
หลังจากที่ได้กล่าวกับบิดา หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นพี่ชายทั้งสามคนนั่งหน้าสลดอยู่บนพื้น ทำให้รู้สึกสงสัยอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านพี่ทั้งสาม ถึงได้ไปนั่งอยู่เช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
เพียงแค่ได้ยินนางถามออกมา ใบหน้าของฮ่องเต้ก็บ่งบอกถึงความโกรธที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“จะอะไรอีกล่ะ นั่นเพราะบรรดาพี่ชายของเจ้าไม่รู้นึกคิดอย่างไร ถึงไปแกล้งบุตรของเกาต้าผิน จนเด็กคนนั้นบาดเจ็บไปหลายแผล พ่อเพียงแค่สั่งสอนพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น”
คำกล่าวของบิดาแฝงไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจปิดบังได้ นั่นจึงพี่ชายทั้งสามคนของหลินซูมี่ ได้แต่นั่งเงียบอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าน้องสาว
“นี่ท่านพี่ทั้งสามไปรังแกบุตรของพระสนมเกาต้าผิน ที่บิดามีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีของสำนักราชเลขาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ลูกไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดท่านพ่อจึงได้โมโหเช่นนี้ เพราะตระกูลเกาต้านั้นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่รับใช้แผ่นดินมานาน” หลินซูมี่กล่าวออกมาเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
และสิ่งนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาหันไปมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าบุตรสาวคนนี้ จะจดจำสกุลและตำแหน่งขุนนางต่าง ๆ ได้ ด้วยวัยเพียงแค่เก้าหนาวเท่านั้น
