องค์หญิงใหญ่ดวงใจท่านแม่ทัพทมิฬ

162.0K · จบแล้ว
sanvittayam
60
บท
3.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หัวใจของนางทั้งหมดเป็นของบุรุษผู้หนึ่งที่ดูแลและสอนสั่งนางมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ภายใต้กรอบของจารีตและการดำรงตนตามขนบในฐานะองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นหลิน ทำให้หลินซุมี่ได้แต่ซุกซ่อนความรู้สึกอุ่นหวานที่มีต่อแม่ทัพใหญ่อย่างเสวี่ยเยวียนสือไว้ในหัวใจ นางจึงยินยอมทำทุกทางเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งเดียวกับเขา ในฐานะองค์หญิงนางทราบดีว่าไม่ควรเอาอารมณ์อยู่เหนือหน้าที่และเหตุผล แต่การที่จะให้นางต้องเป็นชายาของคนที่ไม่เคยพานพบนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากยิ่ง หลินซูมี่จึงทำผิดต่อครอบครัวและชิงหนีไปไกลสุดหล้า ชาตินี้พบนี้คนที่นางจะมอบกายและหัวใจให้ย่อมมีเพียงแค่เขาผู้นั้นเท่านั้น ทว่าหนทางข้างหน้านั้นไม่มีอะไรง่ายดาย นางจึงต้องพานพบเรื่องราวที่พลิกผันมากมาย ในขณะเดียวกันแม่ทัพใหญ่เองก็ต้องตัดสินใจเลือกเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างหน้าที่แม่ทัพที่ต้องดูแลความสงบสุขของแคว้น หรือทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจที่ถวิลหาเพียงไข่มุกบนฝ่ามือขององค์จักพรรดิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาตินี้เขายากที่จะเอื้อมถึงได้

นิยายจีนโบราณองค์หญิงนางเอกเก่งจีนโบราณโรแมนติกพระเอกเก่งเทพสงครามผู้ชายอบอุ่นนักรบ

บทนำ

บทนำ

ณ แคว้นหลินอันรุ่งเรือง

ยามนี้ภายในวังหลวงของแคว้นหลิน กำลังเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขึ้นขององค์หญิงตัวน้อยซึ่งเกิดจากฮองเฮา

“อุแว้!! อุแว้!! อุแว้!!”

“โอ๋ เด็กดี ไม่ร้องนะ ดูมารดาของเจ้าสิ นางเหนื่อยขนาดไหนเพื่อคลอดเจ้าออกมา เจ้าก็อย่าส่งเสียงดังรบกวนนางเลยนะ”

ผู้เป็นฮ่องเต้และเป็นพระบิดาขององค์หญิงน้อย กำลังปลอบประโลมทารกน้อยในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน พลางมองไปทางฮองเฮาด้วยแววตาที่หวานชื่นและแฝงไปด้วยความอ่อนโยน

“ไป! อี้กงกง เจ้าจงรีบไปประกาศให้ทั่วทั้งเมืองหลวงรับรู้ถึงการถือกำเนิดของบุตรสาวเรา”

เมื่อกล่อมจนทารกน้อยเงียบเสียงลง ฮ่องเต้ก็หันไปรับสั่งกับกงกงทันที

“น้อมรับพระบัญชา พ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นอี้กงกงก็ก้มศีรษะรับคำสั่ง รีบวิ่งไปป่าวประกาศให้ทั่วทั้งวังหลวงตามพระประสงค์ของฝ่าบาท

เมื่อข้าราชบริพารและทางวังหลวงทราบเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็กระจายข่าวอันน่ายินดีนี้ออกไปนอกวัง จนเวลานี้ชาวบ้านทุกคนได้รับรู้กันไปทั่วทั้งแคว้นแล้ว

ขณะเดียวกันก็มีชายร่างสูงใหญ่ รูปร่างกำยำและดูภูมิฐานได้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนและเอ่ยถามขึ้นมา

“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”

“อ้าว เจ้ามาแล้วหรือเยวียนสือ ไม่ต้องมากพิธีไปหรอก ข้าบอกแล้วมิใช่หรือไงว่า เมื่ออยู่กันแค่พวกเรา เจ้าก็สนทนากับข้าตามปกติเถิด ศิษย์น้อง”

ฮ่องเต้ตอบด้วยท่าทางสนิทสนม ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับยื่นทารกน้อยในอ้อมแขนให้ชายตรงหน้าได้ชื่นชม ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ

“พี่สะใภ้ของเจ้าปลอดภัยดี นางกำลังพักผ่อนน่ะ เรื่องนั้นก็ช่างก่อนเถอะ เจ้ามาดูหลานสาวของเจ้าสิ นางหน้าตาน่ารักน่าชัง จ้ำม่ำยิ่งนัก”

เสวี่ยเยวียนสือชะโงกหน้ามองไปยังทารกน้อยอย่างชื่นชม ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอ่อนโยน อย่างที่ไม่ค่อยมีใครพบเห็นมาก่อน

“หน้าตาช่างละไม้คล้ายคลึงกับพี่สะใภ้สมัยยามวัยเยาว์ยิ่งนัก แล้วท่านให้นางชื่ออะไรหรือศิษย์พี่”

“ข้าให้นางมีนามว่า หลินซูมี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในยามที่เอ่ยนามของธิดาออกมา

“ผืนป่าอันงดงาม แต่เต็มไปด้วยความลับเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยความหมายของชื่อออกมาอย่างผู้รู้ ก่อนจะกล่าวอีกครั้งว่า “เป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก แต่ก็แฝงไปด้วยความลึกลับ ข้าคิดว่าเมื่อนางเติบโตขึ้นมา จะต้องทั้งฉลาดและงดงามอย่างมากแน่”

“ฮ่า ๆ ย่อมเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เชื้อสายของข้าและฮองเฮาดีมากขนาดนี้ ลูกเกิดมาก็ย่อมดีไม่ต่างจากบิดาและมารดาหรอก”

ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจพร้อมกับตรัสด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่น้อย

“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจะต้องช่วยข้าเลี้ยงเด็กคนนี้ให้ดี เข้าใจหรือไม่”

“เหตุใดข้าจะต้องช่วยท่านเลี้ยงด้วยเล่าศิษย์พี่ ท่านรู้ดีว่าข้าถนัดแต่จับดาบเพื่อรบกับศัตรู ไหนเลยจะถนัดการเลี้ยงเด็กน้อย อีกอย่าง ในวังหลวงก็น่าจะมีแม่นมและเหล่าพระอาจารย์มากมายอยู่แล้ว”

เสวี่ยเยวียนสือถามออกมาอย่างไม่เข้าใจในพระประสงค์ของฮ่องเต้ เนื่องจากในวังมีคนอยู่มากมาย จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดจะต้องให้เขาช่วยเลี้ยงดูธิดาคนนี้ด้วย

“เพราะข้าไม่ปรารถนาให้บุตรสาวของข้าอ่อนแอ จนโดนผู้อื่นรังแกได้โดยง่ายอย่างไรละ และข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด”

ฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยสุรเสียงที่จริงจัง ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าคนในวังหลวงคงไม่มีผู้ใดกล้าสั่งสอนนางอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วเมื่อนางถึงวัยที่ต้องเรียนรู้ ข้าจะส่งนางให้เจ้า และเจ้าจะต้องสั่งสอนนางให้เชี่ยวชาญทั้งเรื่องการต่อสู้ วิชาความรู้ และกลยุทธ์พิชัยสงคราม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันนางให้มีชีวิตอยู่ในวังหลวงได้อย่างปลอดภัย เข้าใจหรือไม่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยเยวียนสือก็ขมวดคิ้วทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ปัญหาที่น่าชวนปวดหัวกำลังจะวิ่งเข้ามาหาตนอย่างแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป เพราะถึงอย่างไรเสียเด็กน้อยคนนี้ เขาก็มองว่านางเป็นลูกของศิษย์พี่คนหนึ่งเหมือนกัน

“เจ้าลองอุ้มดูสิ เมื่อกี้นางนอนหลับ พอเจ้ามาถึงก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม นี่คงเพราะมีวาสนาต่อกันแน่นอน”

ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างยินดี จากนั้นก็ส่งทารกในอ้อมแขนให้กับศิษย์น้องไปอุ้ม

เมื่อได้อุ้มแล้วเสวี่ยเยวียนสือก็รู้สึกแปลก ๆ เขามองทารกน้อยที่กำลังยิ้มให้ ก็พลอยให้เขายกยิ้มที่ริมฝีปากอย่างลืมตัว พร้อมกับคิดอยู่ในใจ ‘เจ้านี่หรือจะมีวาสนาต่อข้า หลินซูมี่’

จวบจนเวลาผ่านไป ยามนี้องค์หญิงหลินซูมี่มีอายุได้ห้าหนาวแล้ว ฮ่องเต้จึงได้ส่งนางให้กับศิษย์น้องที่พระองค์ไว้ใจที่สุด เพื่อให้ช่วยอบรมสั่งสอนนาง ตามที่เคยตรัสไว้ในวันที่นางลืมตามมาดูโลก

โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า การตัดสินใจในครั้งนี้ จะเป็นการผูกเงื่อนตายที่ไม่สามารถคลายได้ให้กับศิษย์น้องของตนเอง และจะนำพาความวุ่นวายมาสู่วังหลวงในอนาคต...