บทที่ 4 ทดสอบ1/2
บทที่ 4 ทดสอบ1/2
“บนตัวพวกเขามีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่น่ะ แต่คนนอกอย่างเจ้าไม่มีทางรู้หรอก ก่อนทุกคนจะเข้าวังหลวง แต่ละตำแหน่งงานล้วนแล้วแต่มีการทำเครื่องหมายไว้บนตัวทั้งนั้น บางครั้งแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าถูกประทับตราใส่” หนิงฮวาเอ่ยบอกเล็กน้อย
“แล้วเหตุใดที่นี่เป็นถึงตำหนักขององค์หญิง แต่กลับไม่มีแม้แต่ทหารสักคนเฝ้าพระองค์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” หมิงซีถามอย่างแปลกใจ ที่นางกล้าปล่อยให้ตำหนักตัวเองไร้คนเฝ้าอารักขาได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่านางจงใจจะทดสอบเขาหรอกหรือ
“ไม่ใช่ไม่มี แต่ข้าแค่ห้ามพวกเขาเอาไว้” หนิงฮวายิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ
“หรือนี่คือแผนการทรงทดสอบกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” หมิงซีถามออกไปตรงๆ
“ส่วนหนึ่งก็ใช่ ส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ ขันทีพวกนี้ต้องการชีวิตของข้าจริงๆ ส่วนการที่เจ้าไม่ปล่อยให้ข้าถูกแทงตายนั่น ก็แปลว่าเจ้าไม่ได้จะมาเพื่อหวังเอาชีวิตข้า แต่จุดประสงค์แท้จริงของเจ้า ข้ายังหาไม่เจอในตอนนี้ แต่อีกไม่นานข้าจะรู้ได้แน่” นางเดินไปนั่งที่โต๊ะ รินสุราใส่จอกยกขึ้นดื่มด้วยท่าทีปกติ มือข้างหนึ่งใช้ค้ำศีรษะตัวเองเพื่อมองเขาด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กระหม่อมไม่คิดว่าจะทรงกล้าใช้ชีวิตตัวเองเพื่อทดสอบผู้อื่นหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ” หมิงซียิ่งสงสัยมากขึ้น
“ถูกต้อง ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็เท่านั้นเอง” หนิงฮวายังตอบกลับมาอย่างไร้ความกังวลใดๆ
“เช่นนั้นต่อไปอย่าทรงทำเช่นนี้อีกนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” หมิงซีกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจแล้วเอ่ยขึ้น เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการของนางที่จะทดสอบเขา ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปจากห้องบรรทมที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและซากศพ
“เดี๋ยวก่อน” หนิงฮวาก้าวเดินมาขวางเขาเอาไว้
หมิงซีไม่ได้พูดแต่อย่างใด เพราะเขาไม่พอใจที่นางทำเช่นนี้
“ข้าบอกไปแล้วนี่ว่า ในวังหลวงทุกคนต้องมีเครื่องหมายที่ตัว ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้า ก็ต้องทำเครื่องหมายกันหน่อย”
เอ่ยจบนางก็ดึงคอเสื้อหมิงซีลงมาจนใบหน้าใกล้ชิด และได้กลิ่นลมหายใจของกันและกัน
“พระองค์จะทำอะไร.... ” หมิงซีถามไม่ทันขาดคำก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอและหัวไหล่
“หึ!” นางหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจแล้วกัดลงไประหว่างต้นคอและไหล่ของเขาจนเกิดเป็นรอยฟัน
หมิงซีกัดฟันไว้แน่น เพื่อระงับเสียงไม่ให้ร้องออกมาเพราะเจ็บ เขากำมือแน่นไม่คิดว่าเรื่องที่นางพูดจะเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะการที่นางทดสอบเขานั่นก็แปลว่านางไม่ไว้วางใจและยังสงสัยในตัวเขา
เพราะฉะนั้นเขาต้องทำให้นางเชื่อใจเขาให้ได้ก่อน จึงค่อยหาวิธีใช้ประโยชน์จากนาง
“เอาละ เจ้าไปได้แล้ว หากมีคนถามอะไร เจ้าก็ตอบไปว่าข้าเรียกเจ้ามาปรนนิบัติทั้งคืนแล้วกัน” หลิงฮวาผละตัวออกมาเมื่อเห็นบาดแผลที่ตนเองทำขึ้นปรากฏอยู่บนเรื่องร่างหนา และเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจในตัวชายหนุ่มอีก
หมิงซีไม่ได้ใส่ใจนางเช่นกัน เขาเดินออกจากห้องไปทันที และเผลอใช้มือลูบบริเวณต้นคอที่นางสร้างรอยไว้ให้
และเมื่อเขาเดินออกไปยังไม่พ้นตำหนัก ทหารหลายนายก็วิ่งกรูกันเข้าไปในตำหนักเหมือนมารอท่าอยู่ก่อนแล้ว นางกำนัลก็เข้ามาทำหน้าที่โดยไม่มีแม้แต่อาการตื่นตกใจแต่อย่างใด เขาสวนกับนางกำนัลคนหนึ่ง นางมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านไป
ห้องบรรทม
หลี่เหว่ย ที่รออยู่ด้านนอกพุ่งตัวเข้าทางหน้าต่างทันทีที่องค์หญิงใหญ่เอ่ยปากเรียก เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น หากไม่เป็นเพราะองค์หญิงห้ามไว้ เขาคงลงมือไปนานแล้ว
และการที่นางยอมให้นักฆ่าเข้าถึงตัวเช่นนั้น ทำเอาเขาใจหาย ยังดีที่เจ้าหนุ่มคนนั้นไวพอที่จะรับมีดเอาไว้ได้ทันเวลา
“อย่าทรงทำเช่นนี้อีกนะพ่ะย่ะค่ะ อันเสี่ยงอันตรายเกินไป” หลี่เหว่ยบ่นขึ้นมาอย่างจริงจัง ขณะที่สั่งให้คนลากศพและจับคนที่ยังเหลือรอดพาออกไปขังไว้ นางกำนัลกำลังช่วยกันเร่งเก็บกวาดและล้างรอยเลือดจนหมดจด
“เจ้าก็เห็นว่าข้าปลอดภัยดี จะกังวลไปไยเล่า เจ้าไม่ใช่กระต่ายที่จะตื่นตูมสักหน่อย” นางกล่าวด้วยเสียงเรื่อยเฉื่อย ขณะนั่งจิบชาอย่างใจเย็น
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะพ่ะย่ะค่ะ หากทรงทำเช่นนี้อีก ครั้งหน้าอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ยังคงเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้น” นางกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไปตบแขนของหลี่เหว่ยเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
นางรู้ว่าเขาเป็นห่วงนางเช่นไร แต่เมื่อนึกถึงหมิงซีที่เอามือเปล่ารับมีดแทนนาง นางก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
