ตอนที่ 3 องค์หญิงบ้าผู้ชาย
“แต่พระองค์ต้องระวังหน่อย เพราะข่าวที่รายงานบอกว่า องค์หญิงผู้นี้แม้นจะชอบคนง่าย แต่นางก็เบื่อง่ายเช่นกัน เหล่าคณิกาชายและนักดนตรีที่เข้าออกตำหนัก มีไม่น้อย แต่ว่าพวกเขาไม่เคยมีใครอยู่เกินหนึ่งเดือน”
“อะไรนะ เดือนเดียวหรือ เพราะเหตุใดกัน”
“เห็นว่าเป็นเพราะความรักง่ายหน่ายเร็วของนางพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านั้นดาวเด่นของหอหรูเยว่ก็เข้าวังไป นางยอมจ่ายถึงสามร้อยตำลึง เพื่อจะได้ตัวเขาไป แต่สุดท้ายก็ส่งไปที่สังนักสังคีต หลังจากนั้นเพียงสิบวัน”
“สามร้อยตำลึงแลกกับสิบวันงั้นหรือ ช่างเป็นหญิงที่ใช้เงินอย่างไร้คุณค่ายิ่งนัก แล้วนาง… นอนกับพวกเขาทุกคนเลยงั้นหรือ”
“เรื่องนี้…”
“ช่างเถอะ ข้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน ก็แค่สตรีไร้ค่าคนหนึ่ง ข้าเองก็ใช่ว่าจะขาดเรื่องเหล่านี้ ไม่ต้องห่วง เจ้ารีบจัดการเรื่องหอหรูเยว่เถอะ ข้าอยากจะเข้าวังหลวงของเสิ่นตูให้เร็วที่สุด”
“หรงอวี้หยาง” องค์ชายห้าแห่งแคว้นฉิน เขาเป็นท่านอ๋องครองเมืองชิงโจว ซึ่งอยู่เมืองหน้าด่านก่อนถึงเมืองหลวง และมีเขตติดต่อกับแคว้นอวิ๋นและเมืองเสิ่นตู
ที่เขาลอบเข้ามาที่นี่ ก็เพื่อสืบข่าวหากบฏที่หนีจากเมืองชิงโจว มาอาศัยอิทธิพลของคนในแคว้นอวิ๋น ซึ่งคิดว่าจะแฝงตัวอยู่ในวังหลวงเสิ่นตู ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องเข้ามาสืบด้วยตัวเอง เพื่อมิให้คนร้ายรู้ตัว
“เหตุใดพระองค์ต้องปลอมเป็นคณิกาต้อยต่ำเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ นี่มันออกจะ…”
“หากจะเข้าวังหลวงเสิ่นตู วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือวิธีนี้ เจ้าก็บอกเองว่าองค์หญิงผู้นี้งดงามแต่โง่เขลาที่สุด นางบ้าผู้ชายจนกระทั่งเปลี่ยนที่ปรึกษาชายบ่อย ๆ ฝ่าบาทก็มิทรงห้าม การลอบเข้าวังด้วยฐานะนี้ จึงง่ายและไม่สะดุดตาผู้คนมากที่สุด ว่าแต่มีเบาะแสของ “อ้ายต้านเฟิง” หรือคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่"
“คนของเรารายงานว่า มีอยู่สามคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครบ้าง”
“คนแรกเป็นขุนนางในกรมโยธา ดูแลเรื่องสร้างถนนเชื่อมต่อเมืองแถบชายแดน แต่เขาเป็นขุนนางผู้น้อย ยศไม่สูงมาก หลายเดือนก่อนส่งบุตรสาวไปแต่งงานกับคนสกุลอ้าย ซึ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน อีกคนก็เจ้ากรมพิธีการ เขาเป็นสหายเก่ากับอ้ายต้านเฟิงมาก่อน แต่ขาดการติดต่อไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วอีกคนเล่า ใครกัน”
“อีกคนเป็น… พระสนมพ่ะย่ะค่ะ พระสนมอิ่นซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดากับอ้ายต้านเฟิง”
“สนมอิ่น แซ่อิ่นงั้นหรือ”
“เดิมทีนางแซ่อ้าย แต่เมื่อเข้าวังไปแล้ว ได้รับพระราชทานแซ่ใหม่เพื่อปกปิดฐานะเดิม ฮ่องเต้เลยพระราชทานแซ่ให้นางใหม่ว่าอิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง”
กลับมาที่ตำหนักเต๋อหยวน
“อิ่นซานถง คิดไม่ถึงว่าน้าวเกาทัณฑ์ทีเดียวจะได้นกสองตัว อยู่ใกล้กันแค่นี้ก็สืบไม่ยากแล้ว”
หลังจากนั้น อวี้หยางก็เริ่มสำรวจในตำหนักเต๋อหยวน เขาพบว่าตำหนักนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับตำหนักอื่น ๆ คนของเขาเคยเข้ามาสำรวจก่อนหน้านี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ห้องหนังสือสุดริมทางเดินในชั้นสอง ซึ่งน่าจะไม่เคยมีผู้ใดเคยเข้ามาที่นี่มาก่อน เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่ามีตำราที่น่าสนใจอยู่มากมาย
“ตำราแพทย์ ตำรับยาโบราณงั้นหรือ เคยเปิดอ่านมาแล้ว น่าจะไม่ใช่เพียงครั้งเดียว น่าสนใจดีนี่องค์หญิง เจ้ามีเขี้ยวเล็บอะไรซ่อนอยู่กันแน่นะ"
แต่ก่อนที่เขาจะสืบหาข่าวในวัง ตอนนี้ต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวอันหลินเสียก่อน เขามีเวลาเพียงสองเดือนที่แคว้นอวิ๋น ก่อนจะต้องรีบกลับไปที่ชิงโจว
เย็นวันนั้น
“เร็วเข้า ๆ รีบไปเรียกคนมา”
“เกิดอะไรขึ้นหรือกงกง”
“คุณชายอวี้พบท่านพอดี ช่วยข้าหน่อยเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไปอุ้มองค์หญิงกลับมาจากศาลาในสวนที เร็ว ๆ เข้า”
“อะไรนะ เหตุใดนางจึงไปที่นั่น ไหนบอกว่าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างไรเล่า”
“ก็ไปเข้าเฝ้านั่นแหละ ช่างเถอะ ๆ ค่อยเล่าก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านไปช่วยข้าก่อน”
“ไปสิ เชิญกงกงนำทาง”
เขาตามซานหูไปทันที เมื่อไปถึงศาลาก็พบกับ นักดนตรีชายหลายคนที่พยายามปลุกองค์หญิง ที่เมาไร้สติอยู่ที่เตียง นางพิงอยู่กับเตียงพักซึ่งมีม่านประดับอยู่
“เร็วเข้า ๆ พวกเจ้าหลีกไปก่อน”
“กงกง คนผู้นี้คือ…”
“ที่ปรึกษาคนใหม่ขององค์หญิง พวกเจ้ายังไม่รีบหลีกไปอีก คุณชายอวี้เร็วเข้า รีบอุ้มองค์หญิงกลับไป ก่อนจะมีผู้ใดมาพบเข้า หลีกไปก่อน หลีกไป ๆ เร็วเข้า”
“ท่านกลัวว่าผู้ใดจะมาพบนาง”
“ปัดโธ่เอ๊ยคุณพระ ท่านรีบอุ้มไปก่อนอย่าพึ่งถาม มีอะไรข้าจะเล่าให้ฟังที่ตำหนัก”
‘มาวันแรกก็ต้องมาอุ้มสตรีบ้าราคะผู้นี้ ในสภาพที่เมาเหมือนสุนัขนี่น่ะหรือ สมกับเป็นสตรีปัญญานิ่มเสียจริง งี่เง่าชะมัด’
อวี้หยางนึกสบถในใจ แต่เขาก็ต้องเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ท่ามกลางเหล่าคณิกาชายนับสิบคน ที่รายล้อมนางอยู่ สองคนที่กึ่งเปลือยท่อนบน ยังสลบอยู่ที่ล่างเตียงพร้อมกอดไหสุรา ซึ่งเป็นภาพที่น่าเกลียดมากเช่นกัน
“ไปเถอะกงกง”
“มาเร็ว ๆ ทางนี้ ๆ เร็วเข้า”
เขาอุ้มร่างบาง ที่เมาจนไร้สติเดินตามกงกงไป ตัวของจ้าวอันหลินมิได้หนักอย่างที่เขาคิด ใบหน้ากลมเนียนตรงหน้า เหมือนจะแดงเลือดฝาดเพราะความเมา แต่เขาเห็นอีกรอยบนใบหน้าของนาง ซึ่งน่าจะเกิดจากการใช้กำลัง
‘นางถูกทำร้ายมางั้นหรือ เหตุใดจึงมีรอยฝ่ามือที่แก้มขวา’
เมื่อถึงตำหนัก กงกงก็รีบเปิดห้องนอนขององค์หญิง และให้เขาพานางเข้าไปวางที่เตียง
“อื้อ...มาดื่มด้วยกันก่อน!”
“องค์หญิง เอ่อ…”
“มาเถอะน่าเสี่ยวเช่า อ้าว ไม่ใช่นี่ มาเถอะมาอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”
“กงกง ข้า…”
“เฮ้อ เช่นนั้นท่านอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะรีบไปให้สาวใช้หาผ้ามาเช็ดตัวองค์หญิงก่อน เดี๋ยวข้ามานะ”
“เอ่อ… องค์หญิง สำรวมหน่อยสิ”
“อื้อ อย่าดิ้นสิไป๋มู่”
“ไป๋มู่ ใครอีกเล่า ท่านอย่า…ฮึก!”
เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อจ้าวอันหลินที่เมากอดคอของเขาไม่ยอมปล่อย สุดท้ายเมื่อหันไปดุใส่นาง ก็ถูกนางดึงเข้าไปจูบ ฝ่ามือหนากางออก และจับที่เสาเตียงไว้แน่น นางยังขยับปากเป็นเชิงยั่วยวน เขาตกใจและนิ่งไปทันที
“อืม…กอดข้าสิ ไป๋มู่”
“ไป๋มู่ ผู้ใดคือ…ฮึก!”
นางยังดึงเขาเข้าไปจูบอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เริ่มประกบแน่นมากขึ้น และเงยหน้ามามองเขา สายตายั่วยวนตรงหน้า ทำเอาอวี้หยางลืมตัวไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะถูกนาง ปล้นจูบตั้งแต่วันแรก เดิมทีเขารังเกียจการจูบกับสตรีมากที่สุด เพราะมิได้มีใจให้พวกนาง การร่วมหลับนอนกับสตรี ก็เป็นเพียงแค่การระบายความใคร่เท่านั้น
“อื้อ…อื้อ”
เรียวลิ้นตวัดกันไปมาจนยากจะถอน ซานกงกงก็ไปเสียนานเหลือเกิน เขาหลงลืมไปแล้วว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง ไม่คิดเลยว่าจูบรสสุรา จะหอมหวานชวนหลงใหลเช่นนี้
“กอดข้าสิ อยู่กับข้านะไป๋มู่”
เขาไม่รู้ว่าไป๋มู่ที่นางพูดถึงคือใคร แต่ตอนนี้เขาต้องการให้นางจดจำว่าผู้ใดกอดนางอยู่ และไม่ต้องการได้ยินชื่อของผู้อื่น
“ข้าชื่อว่าอวี้หยาง เอ่ยนามของข้าสิองค์หญิง อวี้หยาง มิเช่นนั้นข้าจะไม่จูบเจ้าอีก”
อันหลินเงยหน้ายิ้มอย่างยั่วยวนเพราะฤทธิ์ของสุรา นางไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าพูดเพราะข่มขู่นาง แต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอก และเริ่มกรีดนิ้วไปที่ร่องปกสาบเสื้อของอีกฝ่าย
“อวี้หยาง ก็ได้อวี้หยาง ข้าเรียกชื่อเจ้าแล้ว ทีนี้… จูบข้าต่อได้หรือยังเล่า”