บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 บรรณาการสวามิภักดิ์ 2

“หึ ให้โกรธข้าจนตายไปเลย! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเตรียมเรื่องแต่งงานให้ข้าตามใจชอบ ส่งมอบให้ข้าเป็นตัวแทน เป็นเครื่องบรรณาการสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเหยา กล่าวมาได้ว่าเป็นการดีต่อเรา ให้โมโหตายไปเลยท่านพ่อน่าเกลียดผู้นั้น! เดิมทีก็ไม่เห็นองค์ชายสิบอย่างข้าในสายตาอยู่แล้ว!”

ฟังชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างคับข้องใจ เห็นนิ้วเล็กบางกําถ้วยชาแน่นจนร้าว เท่านี้เด็กรับใช้ก็รู้ว่าการกลับไปเป็นเรื่องไร้ความหวัง ได้เพียงถามเสียงเบาที่สุด

“องค์ชายสิบ ไม่ทราบว่าพวกเรายังจะลงใต้กันต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากทั้งสองคนปลอมตัวลอบออกจากวังหลวงแคว้นซี ก็เดินทางแวะไปตามแคว้นอื่นจนมาถึงแคว้นเหยา ลงใต้มาตลอดเหมือนเที่ยวชมธรรมชาติ ชิมอาหารเลิศรสไปทั่ว เป็นอิสระมากอย่างไม่ต้องพูดถึง อำเภอเก่าแก่ที่ควานเหลียงนี้เป็นที่ที่สิบเจ็ดที่พวกเขาเดินทางผ่าน และเป็นอำเภอชนบทที่เจริญที่สุดในละแวกใกล้เคียงด้วย มีกิจการใหญ่โตลูกค้าไม่ขาด

ถึงเจ้านายจะเที่ยวสนุกมาก แต่เด็กรับใช้กลับรู้สึกว่าที่นี่ดูถูกคนนอก โดยเฉพาะชาวบ้านยากจน จากก่อนหน้าที่จะเข้ามาในงาน พวกเขาได้ไปจุดธูปไหว้พระ พวกคนที่สวมเสื้อผ้ามีรอยปะซ่อมล้วนเข้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่ซื่อตรงอัธยาศัยดีเหล่านั้น จึงได้เพียงคุกเข่ากราบไหว้นอกประตูบานใหญ่ พวกเขาอธิษฐานให้เทพภูเขาปกปักคุ้มครอง ท่ามกลางละอองฝน

เด็กรับใช้เห็นแล้วสงสารนายท่านอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่เขาไม่สามารถขัดความสนุกของเจ้านายได้ จึงไม่พูดอะไรออกไป เด็กรับใช้พูดถึงการท่องเที่ยวต่อ ชายหนุ่มเก็บอารมณ์ห่อเที่ยวเมื่อครู่ทิ้งไป ตบไหล่เด็กรับใช้ไม่เบาไม่แรง กล่าวพร้อมยิ้มกริ่ม

“คืนนี้ ข้าในฐานะนายท่าน ขอเชิญเจ้ากิน ได้ยินว่าไก่ย่างในกระบอกของแคว้นเหยาเป็นที่เลื่องลือ!”

“ว้าว ขอบพระคุณนายท่านที่ให้รางวัล”

เด็กรับใช้น้ำลายสอขึ้นมาทันใด ได้ยินว่ามีของกินอร่อยก็รีบพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเขาก็เรียกให้เถ้าแก่ร้านชาเปลี่ยนชามาอีกหนึ่งกา ต้องการชาฤดูใบไม้ผลิแบบชั้นหนึ่ง ว่าแล้วก็หยิบเงินตำลึงขาวจั๊วะออกมาหนึ่งก้อน ทำเอาเถ้าแก่หน้าระรื่นจนมองไม่เห็นลูกตา ยกชากับขนมอย่างดีออกมาให้ และคอยบริการนายท่านทั้งสองอย่างกระตือรือร้น

เด็กรับใช้หารู้ไม่ว่า การที่พวกเขาสองคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตลอดทาง ยังไม่รวมถึงเงินตำลึงขาวก้อนนี้ ได้ดึงดูดความสนใจของพวกลักเล็กขโมยน้อยมานานแล้ว เหล่าหัวขโมยต่างติดตามพวกเขาโดยแบ่งเป็นสองสายอย่างเงียบเชียบ

“นายท่าน ทางนั้นขอรับ หอเจิ้นเชียง!”

เด็กรับใช้มองเห็นภัตตาคารริมแม่น้ำสูงสามชั้นหลังหนึ่งอยู่ไกล ๆ บริเวณนี้มีแผงร้านขายของตั้งกันสลอน แผงขายน้ำมัน ร้านของเก่า ร้านสิ่งทอ มากมายนับไม่ถ้วน! ชาวบ้านอำเภอห่างไกลเดินเที่ยวงานวัดเสร็จก็รีบตรงมาที่นี่ ถือโอกาสสั่งน้ำมันตะเกียง พักเท้า ซื้อของกิน พูดคุยสัพเพเหระ ในมือแต่ละคนต่างหอบหิ้วข้าวของกลับบ้านอย่างมีความสุข ส่วนพ่อค้าย่อมมีความสุขที่ได้เห็นกิจการรุ่งเรือง และยังขายของลดราคาอีก ประกอบกับอากาศตอนกลางคืนไม่ร้อน ผู้คนที่เดินเล่นจึงยิ่งมาก ดังนั้น คลื่นมนุษย์ในคืนนี้ หากเทียบกับงานช่วงกลางวันแล้วแออัดกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อ

“เห็น เห็นแล้ว!”

แน่นอนว่าเขาเห็นทางที่เด็กรับใช้ชี้บอกแล้ว ความเป็นจริงทางนั้นมิได้ไกล อยู่ห่างประมาณห้าสิบกว่าก้าว อย่างไรก็ตามสะพานดุจภูเขา มีผู้คนมากมายรวมตัวกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวเอ็ดอึง เมื่อปะปนเข้าไปใน ‘กระแสฝูงชน’ ผู้เป็นนายก็ฝืนมิได้ ไหลไปตามฝูงชน เด็กรับใช้ร้องโวยวายด้วยความตกตื่นใจ เห็นเด็กรับใช้กําลังจะไหลไปอีกทาง

เจ้านายก็ยื่นแขนข้ามไหล่คนอื่นไปดึงหลังเด็กรับใช้ไว้แน่น ๆ กลั้นใจออกแรงยื้อไว้ไม่ให้ถูกเบียดแตกกลุ่มจากกัน สองนายบ่าวพากันเคลื่อนตัวทีละนิดจนมาถึงหน้าประตูของหอเจิ้นเชียง พวกเขาต้องพักหายใจหอบใหญ่ เหงื่อเต็มหน้า ขนาดพูดยังมีเสียงหอบหายใจ เสี่ยวเอ้อร์เห็นแล้วไม่แปลกใจ พูดต้อนรับ

“เชิญด้านในขอรับนายท่าน” แล้วนําพวกเขาขึ้นชั้นสองที่นั่งใกล้หัวบันได

“ตรงนี้คนเดินไปเดินมาจะนั่งได้ยังไงกัน นายท่านของข้าจะเจริญอาหารได้อย่างไรกัน”

เด็กรับใช้ออกอาการไม่พอใจมาก โวยวายต้องการให้เถ้าแก่ ‘หรงฝู่เลา’ ออกมารับผิดชอบบริการลูกค้าให้ประทับใจกว่านี้ เถ้าแก่ฝู่รีบตรงมายังบ่าวนายสองคนผู้มาใหม่ เห็นว่าการพูดของคนรับใช้ใหญ่โตขนาดนี้สันนิษฐานว่า ‘นายท่าน’ ท่านนี้คงเป็นผู้มีฐานะพอควร จึงย้ายไปห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด ทั้งยังรินชาให้ด้วยตัวเอง คอยรับใช้อยู่อีกครู่หนึ่ง

หลังจากลงไปสั่งอาหารที่ชั้นหนึ่งก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ลำเลียงอาหารขึ้นไป โดยอาหารแปดเซียนนี้ประกอบไปด้วย เป็ดป่าตุ๋นเห็ดสมุนไพรแบบทั้งตัวหนึ่งจาน เนื้อวัวเครื่องเทศน้ำแดงหนึ่งจาน ผักกาดขาวต้มเนื้อแผ่นตากแห้งจานใหญ่ ยังมีเกี้ยวกุ้งพุดตานหนึ่งชามเล็ก ซาลาเปากุหลาบถั่วหวานหนึ่งเข่ง แน่นอนว่าไก่เผากระบอกไม้ไผ่เป็นตัวชูโรง ตั้งบนแท่นวางอาหารกลางโต๊ะภายในท้องไก่ยัดเห็ดสดหลากชนิดกับปลาเส้นไว้เต็มแน่น ห่อตัวไก่ด้วยใบไผ่ ใส่ในกระบอกไผ่แบบไม่ได้พิถีพิถัน

อ้างอิงจากที่หลงจู๊แนะนํา อาหารจานนี้ต้องค่อย ๆ ย่างบนกองไฟ ประมาณหนึ่งชั่วยามจึงได้ที่ ดังนั้นกระบอกไม้ไผ่ด้านนอกจึงเกือบเป็นถ่านไม้ไผ่ ปากกระบอกผนึกด้วยใบบัว อย่าคิดว่าไก่กระบอกตัวไม่ใหญ่ที่จะประกอบอาหารจานอื่น มันปรุงได้ยอดเยี่ยมมาก ไม่แปลกเลยที่ได้รับการยกย่องจากผู้มั่งมีมากหน้าที่ตามกันมาลิ้มลอง

“นายท่านต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์น้อมรอคําสั่งอย่างนอบน้อม

“เอาเหล้าดอกท้อมาหนึ่งกา นารีแดงหนึ่งกา”

ชายหนุ่มอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก อาหารรสเลิศอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าต้องมีเหล้าดี ๆ อยู่เป็นของเสริม

“ได้ขอรับ รอสักครู่”

หลังจากเสี่ยวเอ้อร์นําเหล้าขึ้นมาให้แล้ว สองนายบ่าวก็ดื่มด่ำทัศนียภาพสวยงามริมแม่น้ำที่มีแสงไฟสว่างไสวนอกหน้าต่าง พร้อมกับกินอาหารชุดใหญ่กันอยู่นานร่วมหนึ่งชั่วยาม ทานอาหารเสร็จ เจ้านายตบท้องอย่างพึงพอใจ มองจานชามที่มีแต่เศษอาหาร เด็กรับใช้เอ่ยปากซึ่งเต็มไปด้วยคราบมันเสนอความคิดแบบยังไม่หายอยาก

“นายท่านขอรับ ไก่เผานี่อร่อยมาก เดี๋ยวห่อกลับอีกตัวเถิดนะขอรับ”

เด็กรับใช้ร้องขอ นายท่านหนุ่มหัวเราะร่าพึงพอใจไม่ต่างกัน

“ดี พวกเราเอากลับไปกินที่โรงเตี๊ยมตัวหนึ่ง”

ชายหนุ่มพูดจบลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดเอื่อย เหล้าเพียงพออาหารอิ่มหนำ ยังมีเรื่องอะไรวิเศษกว่านี้อีก เด็กรับใช้ยิ้มรับและหันไปบอกเสี่ยวเอ้อร์สั่งไก่ย่างหนึ่งตัวกลับบ้าน

“นายท่าน อาหารไม่ถูกปากหรือขอรับ” เถ้าแก่หรงฝู่เลาเดินเข้ามาพร้อมยิ้มตาปิด

"ถูกปากมาก"

ชายหนุ่มพยักหน้าต่อเนื่อง ก่อนเอ่ยปากสั่งอย่างสบายใจ

“อันเต๋อ จ่ายเงินแล้วให้รางวัลเถ้าแก่ด้วย”

“โอ้! ขอบคุณขอรับ”

ได้ยินว่าจะมีรางวัลให้ ทางหรงฝู่เลารีบตอบรับขอบคุณ พร้อมกับโค้งตัวเป็นคันเบ็ด จากนั้นก็หันหน้าไปทางเด็กรับใช้พูดอย่างประจบ

“น้องชาย อาหารมื้อนี้ และไก่เผาหนึ่งตัวกลับบ้าน รวมเหล้าอีกสองกา ทั้งหมดสี่ตำลึงหกอีแปะ”

แน่นอนว่าไก่เผาในกระบอกไผ่ล้ำเลิศมากจนต้องสั่งซ้ำ อย่าหมิ่นว่ามันไม่อร่อย เด็กรับใช้เคยเผลอเรอประมาทไปลบหลู่ไม่ได้!

“ถูกจัง”

มือของเด็กรับใช้ยื่นไปที่ช่วงเอว แต่คลำไม่พบอะไรเลย จากนั้นตบศีรษะหนึ่งทีแล้วกล่าว

“จริงสิ นายท่าน ถุงเงินผู้น้อยอยู่กับท่าน

“หืม?”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ย้อนคิดตาม ช่วงบ่ายนี้พวกเขาซื้อของหลายอย่างมาก เด็กรับใช้ต้องจ่ายเงิน อีกทั้งสิ่งของที่ถือพะรุงพะรัง เขาจึงนำเงินมาไว้ที่ตนเองบอกว่าจะจ่ายเอง แต่ต่อมา

“ข้าคืนให้เจ้าแล้วหรือเปล่า”

ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสงสัย

“ไม่มีนะขอรับ นายท่าน ข้าเห็นกับตา ท่านเอาใส่ไว้ในช่องแขนเสื้อ”

เด็กรับใช้กล่าวอย่างมั่นใจ เวลานี้สีหน้าของหรงฝู่เลาไม่สู้ดีเอามาก ๆ ลูกค้าสองคนนี้คงมิใช่พวกอวดเบ่ง กินแล้วไม่ยอมจ่ายหรอกกระมัง หอเจิ้นเชียงแห่งนี้มิใช่ธรรมดา แม่นมของนายอำเภอเป็นป้าสะใภ้ของหลงพัน นับได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ

“เหลวไหล! ในที่ตัวข้าสักอีแปะก็ไม่มี เจ้าดูสิ เจ้าใส่ไว้ในห่อผ้าหรือไม่”

บนโต๊ะด้านหลังเด็กรับใช้วางของที่ซื้อมามากมาย เหยี่ยวปลอมขนาดใหญ่ หน้ากากเทพภูเขาสามอัน ยังมีของเล่นเด็กอีกจำนวนหนึ่ง และแวะซื้อขนมกุ้ยฮวา ชายหนุ่มจับจ่ายอย่างไม่ตระหนี่ ซื้อขนมกลับให้หลายร้าน พ่อค้าต่างรู้สึกเกรงใจ จึงบรรจุในกล่องบุผ้าให้ มองปราดเดียวไม่รู้ยังคิดว่าเป็นของมีค่า ห่อสัมภาระที่มีทั้งหมด แม้แต่ในผ้าพันเอว เด็กรับใช้พลิกดูหมดแล้ว ทว่าหาไม่เจอสักอีแปะเดียว สองนายบ่าวมองหน้ากันนิ่งอึ้งไปชั่วคณะ เมื่อระลึกได้ว่ามีชายผู้หนึ่งเดินมาชนเบียดเมื่อตอนที่ฝ่าฝูงชนออกมา

“แย่แล้ว! ถุงเงินถูกขโมย!”

ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง นึกได้ในฉับพลัน

“อะไรนะ ถูกขโมยได้ยังไง!” เด็กรับใช้ตาโต ร้องตกใจตาม

“น่าจะระหว่างเดินมาภัตตาคาร”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยายามนึก ยังใช้มือออกท่าทางพลางกล่าว

“มีผู้ชายสองคน คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเดินเบียดข้าตลอดทาง แต่ข้าไม่ทันคิดว่าจะเป็นหัวขโมย!”

“ทั้งสองท่านเล่นละครกันเสร็จหรือยัง”

ขณะที่พวกเขา เจ้าพูดคําข้าพูดคำ โต้เถียงกันว่าทำถุงเงินหายเมื่อใดหรงฝู่เลายืนหัวโด่จนตากระพือแล้วเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหน้าเสือร้ายเสียอีก

“อะไร ข้าโดนขโมยถุงเงิน เป็นเรื่องจริงนะ เงินแค่สี่ตำลึงกว่าข้าจะไปโกงเจ้าทําไมกัน!”

ชายหนุ่มอารมณ์เสีย กล่าวเสียงดัง

“เจ้ามีเงินงั้นเหรอ? งั้นข้าขอถามหน่อย เงินของท่านอยู่ที่ใด หึ! ถือว่าวกระจอกกลับกล้าโอ้อวดตัวเป็นนายท่าน มาหลอกถึงบนหัวข้า พวกเจ้าไม่กลัวตายกันสินะ!"

มีนักแสดงสองคนบนเวทีรับส่งโต้ตอบบทกัน ตั้งท่าจะปั่นประสาทเถ้าแก่เช่นเขารึ

“พวกเจ้ากินแล้วชักดาบชัด ๆ! เป็นนายท่านจอมปลอมเสียมากกว่า!”

"หา! เถ้าแก่ ท่านกล้าว่านายท่านของข้าหรือ!” ต่อให้ต้องตายอันเต๋อก็ไม่กลัวร้องโวยลั่น จนทำให้เถ้าแก่หรงฝู่เลารำคาญถลกแขนเสื้อตะเบ็งเสียงพวกเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็มาทันที พอรู้ว่าเป็นพวกอวดเบ่งกินแล้วไม่จ่าย แต่ละคนก็ทำหน้าถมึงทึงดุดัน บางคนถือมีดหั่นผักตั้งท่าจะฟัน

“นายท่าน! ระวัง!”

ถึงแม้จะกลัว แต่เด็กรับใช้ก็ยืดหลังตรงแสดงอาการปกป้องอยู่ข้างหน้าเจ้านาย ยกหมัดขึ้นกล่าว

“พะ...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร อย่ามาระรานกันนะ! ...ข้าเป็นวรยุทธ์ ทะ...ที่สำคัญ นายท่านของข้า พวกเจ้าแตะต้องไม่ได้!”

“เหอะ! ทําไมจะแตะไม่ได้? เขาเป็นเทพเซียนหรือไง!”

“เด็ก ๆ จัดการมันสองคน”

หรงฝู่เลาตบมือออกคำสั่ง อารมณ์ตอนนี้ของเขาไม่สู้ดีนัก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาเต็มกําลังคว้าตัวเด็กรับใช้ไว้ได้โดยบิดแขนจับไว้แน่น กดตัวไว้กับพื้นหิน เด็กรับใช้เจ็บจนร้องโวยวาย

“นายท่าน! นายท่าน! ช่วยข้าด้วย!”

“อันเต๋อ!”

ชายหนุ่มร้อนใจ อยากช่วยคน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนค่อนข้างมาก หลังจากยื่นมือขวาง เขาก็ถอยถึงมุมใน

“เจ้าว่ามาจะเอายังไง” เถ้าแก่หรงฝู่เลากล่าวถามจริงจัง “อยากให้ข้าแจ้งจับพวกเจ้ากับทางการหรือเด็ดแขนเจ้าเด็กรับใช้นี่แทน? ให้ทุกคนดูผลของการอวดเบ่ง กินแล้วไม่จ่าย?"

“ไม่ แจ้งทางการไม่ได้!”

ชายหนุ่มรีบพูด เป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี กลับกินแล้วไม่จ่าย ถูกจับส่งทางการ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋จะเหลือหรือ? ต่อให้ตายก็ก้าวเข้าที่ว่าการอำเภอไม่ได้ ความลับที่ปลอมตัวแทรกซึมเข้ามามีหวังความแตก!

“งั้นพวกเราตัดแขนเจ้าเด็กนี่แล้วกัน?” เถ้าแก้หรงฝู่เลาแสยะยิ้ม

“ไม่! ไม่! ไม่ได้..!!” ชายหนุ่มโบกมือพัลวัน “ช้าก่อน!”

“วิธีนี้ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ เจ้าใหญ่มาจากไหนวะ!” หรงฝู่เลาตบโต๊ะกล่าวอย่างเดือดดาล

“ข้ามีวิธีอื่นจ่ายเงิน” ชายหนุ่มหันหน้ามากล่าว

“เป็นวิธีใด” หรงฝู่เลาเลิกคิ้วคิดกล่าวแบบหนังหน้ายิ้มแต่กล้ามเนื้อไม่ยิ้มตาม “ให้คนที่บ้านเจ้าส่งเงินมา?”

“ข้าเป็นคนนอกพื้นที่อยู่ต่างเมือง บ้านข้าอยู่ไกลมากคงนําเงินมาให้ทันทีมิได้ แต่ข้าเขียนอักษร ไม่ก็ป้ายคําขวัญให้พวกเจ้าได้!" ชายหนุ่มกล่าว “รับรองอนาคตพวกเจ้าต้องกิจการรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา!”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเรอะ? ตัวอักษรของเจ้ามีค่าสักเท่าไรกัน อักษรกาก ๆ ฮ่า ๆ ๆ”

หรงฝู่เลากับพวกลูกน้องหัวเราะขำขันชายหนุ่มที่พูดบ้าบอจนเจ็บหน้าอก

“อักษรขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อต้องเป็นหนึ่งในใต้หล้า มีเงินหมื่นยังซื้อไม่ได้ ส่วนของเจ้านั่นหรือ เหอะ โยนไว้ในส้วมก็ไม่มีใครอยากได้!"

“บังอาจ! พวกเจ้ากล้าสบประมาทนายท่านของข้าเช่นนี้ เหิมเกริมไปแล้ว! บังอาจมาก!"

ถึงแม้จะถูกกดลงกับพื้น ควบคุมแน่นหนา เด็กรับใช้ยังคงตะเบ็งเสียงกร้าวสุดฤทธิ์

“นายท่าน อย่าสนใจพวกเขา ให้เด็ดแขนข้าไปเลย เหอะ! เพื่อเจ้านาย หัวข้าก็ยอมถูกตัดได้!”

แม้จะพูดเช่นนี้ เด็กรับใช้กลับสั่นกึก ๆ ดูท่าเจ้าตัวจะตกใจจนเกือบฉี่ราดกางเกง ชายหนุ่มไม่อาจเห็นเด็กรับใช้ถูกตัดแขนได้จริงๆ พูดอีก “ก็แค่อาหารมื้อเดียวถึงกับจะเอาชีวิตคนกันเลยเชียวหรือ”

“ข้าล้างชามได้” ชายหนุ่มรีบกล่าวต่อ "ล้างชาม ถูพื้น เช็ดทำความสะอาด งานครัวทุกอย่าง มื้อนี้ต้องทำงานเท่าใดถึงชดใช้ได้หมด ข้าก็จะทำ!”

“ได้! ค่อยสมกับเป็นคนพูดหน่อย”

ครั้งนี้หรงฝู่เลากลับยอมรับเสียง่าย ๆ ถอนหายใจและส่ายหัว เขายกมือให้สัญญาณ ให้ปล่อยเด็กรับใช้ช่างโวยวายนั้น จากนั้นก็จับลูกปัดหยกที่พกติดตัวไปพลางพูด

“ชุนหลี่ ยงเจิ้ง พวกเจ้าคอยดูพวกเขา ให้ไปล้างชามที่ลานด้านหลัง ถ้ากล้าแอบหนีก็เอาแส้ม้าฟาดได้เลย! ทำงานล้างชาม สิบใบเป็นเงินหนึ่งเหรียญ สี่ตำลึงหกอีแปะ คิดดอกเบี้ยทบไป ทั้งหมดรวมเป็นสามสิบตำลึง น่าจะหนึ่งหมื่นใบ แล้วต้องหักค่าอาหารประจำวันเพิ่มอีก เอาเป็นว่าหลังจากนี้หกเดือนพวกเจ้าจึงไปได้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel