EP.3
นิราวรรณจ้องสบดวงตาฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำก่อนจะหลับลงพยายามเรียกสติของตัวเองให้กลับคืน ลืมตาขึ้นอีกครั้ง บอกกับคนในกระจกว่าหล่อนจะต้องไม่ยอม แม้ว่าขณะนี้ร่างกายจะถูกแตะต้องและกักไว้ก็ตาม แต่หล่อนจะขัดขืนให้ถึงที่สุด และจากกระจกเงาสะท้อนพื้นที่เป็นวงกว้างก็ทำให้หล่อนเห็น
ปึก!
“โอ๊ย!”
เสียงร้องดังของยอดเกิดจากถูกเชิงเทียนหัวเตียงฟาดไปจังจัง เขาหงายหลังผละจากร่าง สองมือกุมศีรษะ เปล่งเสียงร้องโอดโอย นิราวรรณได้จังหวะรีบกลิ้งลงจากเตียงและตรงไปที่ประตูห้องโดยเร็ว เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่หล่อนจะรอด แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ทำได้หล่อนก็จะทำ
“อีนิ่ม!”
ทว่ายอดที่ถลามากอดรัดรอบเอวพร้อมกับกระชากตัวจะเหวี่ยงหล่อนไปที่เตียงก็ทำให้เชิงเทียนในมือฟาดไปที่ศีรษะของยอดอย่างแรงอีกครั้ง
“โอ๊ยยยย… อีนิ่ม!”
เสียงยอดตะโกนลั่น นิราวรรณที่ตะลึงมองทำให้เพิ่งเห็นว่าที่หน้าผากของยอดมีหยาดเลือดไหลเป็นทาง หล่อนเงื้อเชิงเทียนในมือและปาตรงไป ร่างสูงใหญ่นั้นกระโดดหลบแต่ก็ไม่ทันทำให้เชิงเทียนฟาดใส่ก่อนจะหล่นใส่เท้า
“โอ๊ยยยยย... อีนิ่ม!”
นิราวรรณหันหนีไม่มีอะไรต้องรั้งรออีกแล้ว แค่เปิดประตูได้ หล่อนก็วิ่งถลาไปทันทีไม่สนใจว่ายอดจะกรนด่าไล่หลังดังขนาดไหน เพราะนับจากวันนี้ไปเขากับหล่อนขาดกัน!
ทว่าบั้นท้ายที่กระแทกกับเตียงเมื่อครู่ก็ทำให้นิราวรรณวิ่งขัดและเสียงจากด้านหลังที่ไล่กวดมาก็ร้องบอกให้หล่อนต้องรีบกว่านี้เพราะดูท่าแล้วยอดไม่ยอมปล่อยหล่อนแน่ หล่อนต้องหนีให้พ้น
สองเท้าพาก้าวไม่เร็วได้เท่าใจ หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างตื่นกลัว และเนื้อตัวก็ระโหยโรยแรงจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นึกโทษตัวเองที่โง่เง่าไร้เดียงสาคิดว่าผู้ชายที่รักจะถนอมหล่อนไว้ถึงวันเวลาที่ความรักสุกงอม แต่ไม่ใช่เลย เพราะถ้าหล่อนพลาด บ้านหลังนี้จะเป็นนรกสำหรับหล่อน
นิราวรรณกัดใจพาร่างกระโพกกระเพกวิ่งออกมาจนถึงหน้าประตูรั้ว แค่ว่าพ้นรั้วออกไปยอดก็คงไม่กล้าตามติด เพราะยามดึกแบบนี้ถ้าหล่อนตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยต้องมีคนออกมาแน่
“อีนิ่ม! อีเวร! โอ๊ยยยยย... หยุดเดี๋ยวนี้นะมึง!”
เสียงไล่หลังของยอดทำให้นิราวรรณกลัวเหลือเกิน หัวใจหนาวเหน็บ แข้งขาก็สั่นอ่อนแรงจนแทบจะพาร่างกายไปต่อไปไม่ไหว แต่ใครจะไปบ้าหยุดรอ หล่อนต้องหนีให้พ้น
“นิ่ม! แกต้องหนีให้พ้น แกต้องหนีให้พ้น! หนี!”
บอกตัวเองพร้อมบีบกระชับมือให้เกิดความเจ็บ เจ็บแล้วจะได้มีสติ เรี่ยวแรงมีเท่าไรก็ต้องกัดฟันไปให้พ้นที่นี่ให้ได้ และแค่พ้นประตูรั้ว แสงไฟจากหน้ารถปิคอัพที่สาดส่องมาก็ทำให้นิราวรรณยิ้มกว้างเพราะหล่อนรอดแล้ว
“จอดด้วยค่ะ! จอดด้วย! จอดด้วยค่ะ!”
หล่อนโบกรถที่คาดว่าเป็นรถของพ่อค้าแม่ค้าที่จะออกไปขายของยามเช้าตรู่ แล้วก็เป็นจริง เมื่อปิ๊คอัพใส่ตะแกรงข้างท้ายมีต้นไม้มากมายอยู่เต็มด้านหลังรถมาจอดอยู่ด้านข้าง
“ลุงคะ! ช่วยหนูด้วย! มีคนบ้ามันจะทำร้ายหนู! ช่วยหนูด้วยค่ะลุง! ช่วยหนูด้วย!”
หล่อนละล่ำละลักบอกเสียงสั่น ไม่กล้าบอกว่าจะถูกข่มขืน
“อีนิ่ม! อีนิ่ม!”
“ลุงคะ! ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ ให้หนูติดรถไปลงหน้าปากซอยก็ได้ นะคะลุง มันจะทำร้ายหนู นะคะลุง ให้หนูไปด้วยนะคะ”
นิราวรรณพนมมือไหว้ชายคนขับรถ ร่ำร้องไห้ปากคอสั่น ใบหน้าเว้าวอนนองน้ำตาและหวาดหวั่นยามเสียงไล่หลังดังมาใกล้ และเพียงคนขับรถพยักหน้าหล่อนก็ไหว้ขอบคุณประงกๆ ก่อนจะรีบปีนขึ้นด้านหลังกระบะโดยเร็ว ได้ทันก่อนที่ยอดจะวิ่งมาถึงประตูรั้ว แต่แม้รถจะเคลื่อนออกมาแล้วหล่อนก็ยังเห็นยอดตะโกนร้องด่าอยู่ แต่ใครจะสน ในเมื่อหล่อนรอดแล้ว
“อีนิ่ม! กลับมาเดี๋ยวนี้นะโว้ย! อีนิ่ม! โอ๊ย! อีบ้า! แม่งทุบหัวกู อีบ้า!”
รถเคลื่อนตัวออกช้าๆ ทันที่จะเห็นคนตะโกนโหวกเหวก
ดวงตาคมเข้มมีแววกร้าวแบบไม่ยอมคนเหลือบมองกระจกข้างก่อนจะตวัดมองที่กระจกหลังซึ่งปรับโหมดเป็นกล้องท้ายรถ ที่เห็นคือชายหนุ่มร่างสูงวิ่งโซเซออกมาจากรั้วบ้านที่ผู้หญิงคนนี้ผลุนผลันออกมา ผู้ชายคนนั้นกำลังยืนตะโกนร้องด่า เอามือกุมหน้าผากตัวเอง และแสงจากไฟตามข้างทางก็เห็นได้ชัดว่าเสื้อยืดสีขาวชุ่มไปด้วยหยาดเลือด
เจ้าของดวงตาคมเข้มมีแววครุ่นคิด เพราะเขาไม่เห็นสีหน้าของผู้โดยสารว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง แต่ที่รู้ๆ ก็คือใบหน้าตื่นตกใจของเด็กสาวตอนมาโบกรถคงมีผู้ชายคนนั้นเป็นสาเหตุ และหัวโชกเลือดของไอ้คนที่ยังยืนตะโกนปาวๆ ก็คงเป็นผลงานของหล่อน
