บทที่ 9
ภูบดินทร์ขับรถเข้าไปจอดที่หน้าเรือนใหญ่ จัดการขนสัมภาระของรินนลีขึ้นไปไว้บนเรือนโดยที่เจ้าตัวยังคงนั่งงงทำอะไรไม่ถูกอยู่ภายในรถ เสียงเห่าเจ้าโทนสุนัขกิติมมศักดิ์ประจำสวนกระดิกหางต้อนรับเจ้านายของมันด้วยความดีใจ กระโดดเข้ามาเพื่อหวังจะเล่นกับภูบดินทร์เหมือนเช่นเคย
“พอๆ ไอ้โทนเดี๋ยวค่อยเล่นกัน ตอนนี้ข้ารีบ” ภูบดินทร์เบี่ยงตัวหลบการตะกายของเจ้าโทน แล้วรีบขนของขึ้นเรือนใหญ่
รินนลีเปิดประตูรถลงมายืนมองบรรยากาศรอบๆ เจ้าโทนเดินกระดิกหางเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดใส่ คนเพิ่งมาใหม่เอื้อมมือไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่ เหมือนเจ้าโทนจะรู้เรื่องมันรีบเอาหน้าเข้ามาซบที่ขาของหญิงสาวพร้อมกับส่ายหางไปมาด้วยความดีใจ
“อ้าว เฮ้ย ไอ้โทนรู้จักเค้าเหรอ แหม ทำตัวสนิทสนมซะแล้ว” เสียงแซวอย่างอารมณ์ดีของภูบดินทร์แว่วมาแต่ไกล
‘คนอะไรอิจฉากระทั่งหมา’ รินนลีคิดในใจ
“มันชื่อไอ้โทน ไอ้เนี่ยมันขี้ประจบ ระวังนะเดี๋ยวมันกระโจนใส่คุณไม่รู้ด้วย” ชายหนุ่มเตือนด้วยด้วยความหวังดีแล้วก้มลงเล่นกับโทนต่ออย่างสนุกสนาน
“ที่นี่เป็นบ้านสวนของคุณภูชิตเหรอ” รินนลีหันมาถาม
“ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มรับคำแล้วเล่นกับเจ้าโทนต่อ
“แล้วที่นี่มีใครอยู่บ้าง”
“ไม่มี ผมอยู่ที่นี่คนเดียว คุณถามทำไมเหรอ”
“นายเป็นอะไรกับคุณภูชิต” รินนลีถามด้วยความสงสัย
“คุณถามทำไม” ภูบดินทร์เงยหน้าสบตาคนถาม นึกในใจว่ารินนลีคงจะจับเขาไม่ได้เพราะไม่ได้พบกันเสียนาน จึงไม่คิดที่จะบอกให้หญิงสาวรู้ว่าตนคือใคร
“นายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ โดยที่ฉันไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อนายเหรอ” สาวน้อยไล่เบี้ยชำระความต่อไปอีกว่า
“แล้วยังเรื่องเมื่อคืนที่นายจับตัวฉันมาอีก ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ตกลงว่าฉันจะไว้ใจนายได้ไหม นายเป็นผู้ร้ายหรือว่าเป็นโจรหรือว่าเป็นอะไรกันแน่”
“ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” หน้าตาคนพูดจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
"ผู้หญิง เรื่องมาก ขี้สงสัยเป็นที่สุด" เสียงบ่นพึมพำลอยมาให้ได้ยินเบาๆ รินนลีตาโตทำท่าจะเอาเรื่อง แต่คนพูดทำเมินหน้าหนีราวกับมองไม่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย
“ตกลงนายจะบอกฉันได้หรือยังว่านายเป็นใคร แล้วเรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้... ” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค ภูบดินทร์ก็ยกมือห้ามเสียก่อนพร้อมกับบอกว่า
“หยุดถามได้แล้วผมปวดหัว ขึ้นเรือนไปคุยกันข้างบน” ชายหนุ่มหันหน้าเดินขึ้นเรือนไม่ตอบคำถามของรินนลี
“คุณจะเดินเองหรือจะให้ผมแบกคุณขึ้นไปแบบเมื่อกี้นี้” เจ้าของสวนหนุ่มหันมาถาม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับไปไหน
"ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้" รินนลีค้อนขวับแล้วเดินขึ้นเรือนไปทันที ท่ามกลางสายตาแห่งความหนักใจของเจ้าของเรือน ที่เริ่มเห็นศึกหนักที่อยู่รำไรใกล้ๆ นี่แล้ว
“ผมเตรียมห้องให้คุณแล้วทางด้านโน้น สัมภาระของคุณอยู่ในนั้นหมดแล้ว ขาดเหลืออะไรก็บอกผมแล้วกัน” ภูบดินทร์ชี้มือไปทางด้านขวาของเรือน
“ส่วนผมอยู่ทางโน้น” ภูบดินทร์ชี้ไปอีกฝั่ง
“คุณพักผ่อนตามสบายเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวกลางวันผมจะให้คนเอาข้าวมาให้”
“เดี๋ยว นายจะไปไหน” รินนลีรีบถามเมื่อเห็นชายหนุ่มลุกขึ้น
“นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย” หญิงสาวทวงคำตอบหน้าตาเฉย
“ นี่คุณ...” ภูบดินทร์สวนขึ้นมาทันทีว่า
“คุณจะไม่ถามสักเรื่องได้ไหม แค่นี้ผมก็เสียเวลากับคุณมากพอแล้ว คุณหยุดถามผมซะทีเถอะ ถ้าอยากรู้อะไร ไว้เย็นนี้ค่อยถามคนที่พาคุณมาแล้วกัน”
“ไม่ได้ นายต้องเล่ามาเดี๋ยวนี้” หญิงสาวไม่ยอมให้ภูบดินทร์ไปไหน ต้องการให้เขาไขข้อข้องใจที่มีให้หมดก่อน
“คุณแน่ใจนะว่า ถ้าผมเล่าแล้วคุณรับได้” ภูบดินทร์ถามเพื่อหยั่งเชิงอีกฝ่าย
“ว่ามาเลย ฉันรับได้หมดทุกอย่าง” รินนลีรอฟังอย่างตั้งใจ
"จับตัวฉันมาขังเพื่อไม่ให้เกิดการแต่งงาน ตลกสิ้นดี"
รินนลีอยากจะบ้าตายเหลือเกิน เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะอะไรถึงได้มาอยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ข้ามคืน การแต่งงานที่เรียกว่าคลุมถุงชนเป็นต้นเหตุ แผนการณ์โจรกระท่อมเพื่อขัดขวางงานแต่งงาน ทุกอย่างเหมือนในละครไม่มีผิด
“คุณก็พูดเกินไป แค่ชั่วคราวจนกว่าจะหาทางออกได้” ภูบดินทร์แย้งเล็กน้อย
“โอเค จับฉันมาเพื่อให้ไม่ต้องมีการแต่งงาน ฉันพอเข้าใจได้ ว่าแต่นายใช้วิธีไหนเอาตัวฉันมาที่นี่” รินนลีถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ...คือ” ภูบดินทร์อ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูดว่าใช้การลักพาตัวมาเพราะเกรงว่าหญิงสาวจะยิ่งโกรธ อีกทั้งภูชิตสั่งหนักหนาว่าจะเป็นคนมาอธิบายเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำให้เจ้าของสวนหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“อย่าบอกนะว่า สะกดรอยตามฉันไปทุกที่”
“ถ้าอย่างนั้น นายก็ต้องตามฉันไปที่คอนโดนั้นด้วย งั้นนายก็เป็นพยานให้ฉันได้ซิ”
รินนลีเริ่มเห็นทางสว่างในปัญหาที่หนักหน่วงของตนแล้ว บางทีโจรกระท่อมคนนี้อาจช่วยเป็นพยานให้พ้นผิดได้ เพื่อเธอจะได้กลับบ้านได้เร็วขึ้นนั่นเอง
“ผมตามคุณไปจริง แต่ผมไม่ได้เห็นนี่นาว่าคุณขึ้นไปทำอะไรบนคอนโดนั้น” ชายหนุ่มรีบตัดบทต่อว่า
“ตอนนี้ผมว่าคุณไปพักได้แล้ว ผมก็จะไปทำงานของผมบ้าง มัวแต่วุ่นวายอยู่กับคุณนี่แหละ ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรแล้ว” ร่างสูงลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วเตรียมก้าวลงบันไดเพื่อไปทำงานในสวนของตนตามปกติ
“เดี๋ยว... ” เสียงเรียกของรินนลีทำให้ชายหนุ่มชะงัก แล้วหันหลังกลับมารอฟังคำถามใหม่ว่า
“นายยังไม่ได้บอกฉันเลย แล้วนายเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร”
“นายครับ ชาวสวนมารอนายกันนานแล้วคร๊าบ นายเสร็จธุระหรือยังคร๊าบ ”
ก่อนที่ภูบดินทร์จะได้ตอบคำถามของรินนลีนั้น เสียงร้องตะโกนดังลั่นมาจากด้านล่างทำให้เขาต้องหันมามองนาฬิกาแล้วรีบเจรจาอย่างรีบด่วน
“ไว้ผมจะมาแนะนำตัวทีหลังนะ แต่ตอนนี้พวกเขารอผมอยู่นานแล้ว คุณไปพักผ่อนในห้องเลยเดี๋ยวเที่ยงๆ ผมจะให้คนเอาข้าวมาให้” พูดจบภูบดินทร์รีบวิ่งลงจากเรือนหายไปอย่างรวดเร็ว
รินนลีทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่าการทำตามที่ภูบดินทร์บอก หญิงสาวเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นกองสัมภาระที่ชายหนุ่มขนขึ้นมาให้วางอยู่ที่พื้นห้องอย่างเรียบร้อย
มองไปรอบๆ ห้องเตียงนอนสีขาวสะอาดตาอยู่ตรงกลาง ถัดไปเป็นโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ อยู่ตรงมุมห้อง มีหน้าต่างบานเล็กๆ ที่มองออกไปก็เห็นสวนกล้วย อากาศที่นี่เย็นสบายแม้ว่าเวลาตอนนี้จะสายมากแต่ก็ไม่รู้สึกว่าร้อนแต่อย่างใด
รินนลีอาบน้ำชำระร่างกายแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น หญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่เป็นชุดลำลองสบายเสื้อผ้าฝ้ายบางกับกางเกงเลเป็นชุดเก่งประจำตัว สยายผมดำมันของตนออกเพื่อบรรจงเช็ดผมให้แห้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วเผลอหลับไปในที่สุด
