บทที่ 1
“วันนี้ แม่ไปทาบทามขอหนูรินให้แกแล้ว” คุณหญิงแพรวาพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนสุข
“คุณแม่จะให้ผมแต่งงานกับใคร ช่วยพูดใหม่อีกทีได้ไหมครับ ” คุณหมอหนุ่มอนาคตไกลนามว่าภูชิตร้องถามด้วยความตกใจ
"เบาๆ ก็ได้ตาภู ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน แม่ตกใจหมด" หญิงวัยกลางคนค้อนขวับบุตรชายเล็กน้อย
“เรื่องที่จะพูดเมื่อกี้คุณแม่ล้อเล่นใช่ไหมครับ คงไม่ได้คิดจะจับผมคลุมถุงชนกับลูกสาวบ้านไหนตามใจชอบ ใช่ไหมครับ” ภูชิตเบาเสียงลงเล็กน้อยแล้วถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง
“ใช่จ้ะ แม่ไม่ได้พูดเล่นแต่พูดเรื่องจริงต่างหาก" คุณหญิงแพรวายิ้มหวานให้อย่างอ่อนโยนแล้วพูดต่อไปว่า
"ผู้หญิงที่เหมาะกับภูของแม่ที่สุดไม่ใช่ใครอื่น หนูรินลูกสาวน้าอำไพเพื่อนสนิทของแม่เอง ภูกับหนูรินเคยเจอกันตั้งแต่ตอนเด็กๆ เวลาที่เราไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านสวนเมืองนนท์ไง จำได้ไหมลูก"
"จำได้ครับ น้องรินลูกสาวคุณน้าอำไพ" คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับ เรื่องความจำเป็นเลิศนี่ต้องยกให้ภูชิตคนนี้ทุกคนในบ้านรู้ดี
"หนูรินเรียนจบทำงานเป็นนักข่าว แม่กับน้าอำไพเพิ่งนัดกินข้าวกันเมื่ออาทิตย์ก่อน พอดีหนูรินมารับน้าอำไพกลับบ้าน แม่เพิ่งได้เจอหน้าหลังจากที่ไม่ได้เห็นเสียหลายปี พอเห็นหน้าหนูรินปุ๊ป แม่ก็คิดถึงภูขึ้นมาทันทีเลย ถ้าไงอีกสองอาทิตย์แม่จะนัดกินข้าวให้ ภูกับหนูรินจะได้เจอกันอีกสักครั้งแล้วเรื่องแต่งงานค่อยว่ากันอีกที ดีไหมลูก"
"คุณแม่ครับ แต่ว่าผม เอ่อ เรื่องแต่งงานผมขอ..."
"เอาเป็นว่าทำตัวให้ว่างไว้นะ ลูก นัดวันได้เมื่อไรแม่จะบอกอีกที ฝันดีนะจ๊ะ แม่ไปดูคุณพ่อก่อนไม่รู้ว่าตอนนี้เข้านอนไปหรือยัง" คุณหญิงแพรวาตัดบทไม่รับฟังคำใดๆ ของบุตรชายทั้งสิ้น ยิ้มหวานยกมือขึ้นแตะแก้มชายหนุ่มเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องนอนไปอย่างมีความสุข ทิ้งให้ภูชิตนั่งหน้าเครียดอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
ภูชิตถอนหายใจดังๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ใจหนึ่งก็รู้ว่ามารดาหวังดีจริงๆ แต่ก็ไม่อาจที่จะ ทำใจ รับข้อเสนอนี้ได้ เนื่องเพราะ ‘พันธะ’ ทางหัวใจที่ตนปลูกต้นรักไว้กับหญิงอื่น โดยไม่มีใครรู้ระแคะระคายมาก่อนนั่นเอง
ร่างสูงตัวล้มตัวนอนลงบนเตียงใหญ่ที่แสนจะสบาย แต่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เอามือก่ายหน้าผากพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ตามมาติดๆ อีกหลายที น้ำเสียงของมารดายังคงก้องอยู่ในหัวของคุณหมอหนุ่มชัดเจนทุกคำ
คุณหมอหนุ่มพลิกตัวไปมาด้วยความร้อนใจ ยืนกรานความคิดเดิมแต่แรกว่า จะไม่ยินยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่มารดาเลือกให้เด็ดขาด หัวใจของเขาไม่อาจยกให้ใครได้อีกนอกจากผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
มันต้องมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ และต้องหาทางจัดการให้เร็วที่สุด แต่ใครจะช่วยเขาได้ ใครในบ้านจะกล้าขัดประกาศิตของคุณหญิงแพรวาได้เล่า นาทีนี้ภูชิตคิดถึงใครอีกคน คนนี้ล่ะ ที่จะช่วยให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้น
“ว่าไง ไอ้เสือน้อยนอนหรือยัง” คุณหมอหนุ่มทักทายปลายสายที่เพิ่รับโทรศัพท์ ดวงตาของภูชิตเป็นประกายเจิดจ้า ในสมองปรากฎภาพที่เป็นทางออกสำหรับอุปสรรคในขณะนี้แล้ว
“ยังไม่นอน มีอะไรด่วนหรือป่าว พี่ภูถึงโทรมาตอนนี้” ปลายสายถามกลับมาด้วยความสงสัย
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก คุณพ่อคุณแม่สบายดี พี่ยังไม่ง่วงก็เลยโทรมาคุยเรื่อยเปื่อย” น้ำเสียงชายหนุ่มดูอารมณ์ดีขึ้น
“มีอะไรว่ามาเลย ผมกำลังพักพอดี เดี๋ยวจะกลับไปนั่งทำงานให้ลูกค้าต่อ”
เมื่อปลายสายเปิดโอกาสให้ภูชิตขนาดนี้ มีหรือที่ชายหนุ่มจะปล่อยโอกาส เดียวให้หลุดรอดไปได้
“พรุ่งนี้พี่จะไปหาแต่เช้านะ เสือน้อย ไปทำงานต่อเถอะ อ้อ อย่านอนดึกล่ะ พักผ่อนดูแลสุขภาพบ้าง”
"ขอบคุณครับ พรุ่งนี้พี่ภูมาก็ดีแล้ว ผมจะฝากกล้วยน้ำว้าในสวนไปให้คุณพ่อหน่อย เมื่อเช้าตัดลงมาลองชิมเครือหนึ่งหวานมาก"
"ได้ๆ พรุ่งนี้อยากฝากอะไรให้ใคร เตรียมไว้เลย เดี๋ยวพี่จัดการขนมาให้เอง แค่นี้นะ เสือน้อย ฝันดีไอ้น้องรัก"
ภูชิตวางโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกโล่งใจขึ้น อย่างน้อยน้องชายสุดที่รักคงช่วยให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะต้องคิดคำพูดอย่างไร ถึงจะจัดการเสือน้อยให้ยอมทำตามได้อย่างว่าง่าย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
ภูชิตรีบบึ่งมาที่บ้านสวนแต่เช้าแอบมีความหวังในใจเล็กๆ ว่า ไอ้เสือน้อย จะต้องช่วยได้อย่างแน่นอน บนเรือนไม่มีใครอยู่อาจจะเป็นเพราะว่ามาสายเกินไปทุกคนจึงออกไปทำงานตามหน้าที่กันหมด ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ตัดสินใจว่าจะอยู่รอโดยไม่ออกไปไหน
เสียงคนคุยกันแว่วมาแต่ไกล ภูชิตชะโงกหน้าจากระเบียงด้านบนลงไป ชายหนุ่มเล็งไปที่ เป้าหมาย อย่างใจเย็น คิดทบทวนคำพูดที่จะโน้มน้าวใจให้ทุกอย่างสำเร็จ
ภูบดินทร์หรือเสือน้อยของภูชิตวัยยี่สิบเจ็ดปีก้าวขึ้นมาบนเรือน เจ้าของสวนหนุ่มสูงกว่าพี่ชายเล็กน้อย ผิวเข้มเพราะคล้ำแดดมากกว่า แต่ความหล่อเหลาในเนื้อแท้ก็ไม่ได้ลดลงเพราะความคล้ำแดดจากการทำงานเลย ภูบดินทร์เป็นบุตรชายคนเล็กสุดเฮี้ยวของนายแพทย์ภูสิงห์และคุณหญิงแพววา ภู่ปัญญา
เขา ผู้ฉีกทุกกฎของบ้านแหวกแนวชีวิตต่างจากสมาชิกคนอื่นในครอบครัว รักชีวิตอิสระเสรีและไม่ชอบให้ใครควบคุมหรือบัญชาการใดๆทั้งสิ้น เห็นได้จากเมื่อเรียนเรียนจบใหม่ ภูบดินทร์เป็นคนขอมารดาออกมาใช้ชีวิตในแบบวิถีชีวิตชาวสวนที่เรียบง่าย โดยให้เหตุผลที่คุณหญิงเถียงไม่ขึ้นว่า
‘คุณแม่ จะอายทำไมเราก็มาจากชาวสวนเหมือนกัน พี่ภูเป็นตัวแทนของคุณพ่อกับคุณแม่ได้แล้วขอผมไปอยู่เฝ้าสมบัติของคุณยายดีกว่า’
ภูบดินทร์ไม่เพียงแต่แค่มาดูแลสมบัติเก่าของคุณยายเท่านั้น แต่นำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาพัฒนาให้สมบัติเก่าของคุณยายงอกเงยมาได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเพื่อนบ้านชาวสวนใกล้เคียงได้อีกในบางโอกาส เนื่องจากเปิดบริษัทรับออกแบบจัดสวนสวยโดยคิดราคาไม่แพง และใช้ผลิตผลของชาวสวนใกล้เคียงเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นภูบดินทร์จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนชาวสวนอื่นเสมอมา
สวนของคุณยายอยู่แถวนนทบุรี แต่เดิมเป็นสวนผักเล็กๆ ก่อนต่อมาพอมีเงินมากขึ้นก็ค่อยซื้อที่ซื้อทางเพิ่มเข้าไป คุณยายเริ่มหันมาปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อส่งขายให้กับแม่ค้าต้นไม้ที่มารับซื้อถึงในสวน อีกทั้งยังปลูกผลไม้ตามฤดูกาลไว้อีกหลายอย่าง จะว่าไปงานในสวนที่ภูบดินทร์รับผิดชอบก็มีไม่ใช่น้อยทีเดียว
“แต่งงาน พี่ภูถูกคุณแม่จับแต่งงาน”
ภูชิตพยักหน้ารับอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่ภูบดินทร์หัวเราะดังลั่นราวกับขบขันเสียเต็มประดา ทำเอาพี่ชายถึงกับกลุ้มใจเพิ่มขึ้น เมื่อท่าทีน้องชายไม่คล้อยตามไปทางเดียวกับตน
“พี่มาหาแกเนี่ย ไม่ได้ให้แกมาหัวเราะใส่หน้าแบบนี้นะ” น้ำเสียงคุณหมอหนุ่มเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนคนฟังรู้สึกได้จึงหยุดหัวเราะและหันมาปลอบใจพี่ชายแทน
"โอเค ไม่หัวเราะก็ได้ แต่แหม พี่ภูก็..." น้องชายเดินมานั่งข้างๆ ยกมือโอบบ่าพลางปลอบใจอย่างเป็นกลางว่า
“คุณแม่คงหวังดีอยากให้คุณหมอภูชิตมีผู้หญิงดีๆ มาดูแลสักคน ท่าทางว่าคนนี้จะเข้าตามากจนต้องเอ่ยปากทาบทามให้ก่อนจะถามพี่ ถ้าพี่ภูไม่อยากแต่งก็พูดกับคุณแม่ตรงๆ หรือไม่ก็ให้โอกาสตัวเองลองไปเจอหน้ากันสักครั้ง ไม่แน่บุพเพอาจจะอาละวาดให้ตกหลุมรักแต่แรกเห็นก็ได้นะ ใครจะไปรู้”
