ตอนที่ 13 น้ำแกงเนื้อรสเลิศ
การเดินทางยากลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะต้องเร่งเดินทาง หากไปถึงเร็วก็เริ่มทำงานได้เร็ว เรื่องจัดสรรที่ดินทำกินนั้นต้องเร่งรีบ ถ้าเพาะปลูกภายในเดือนห้าได้ก็สามารถเก็บเกี่ยวพืชพรรณได้ในช่วงฤดูสารทหนึ่งรอบ นั่นไม่ต้องรอจนถึงต้นปีหน้าถึงจะสามารถทำกินได้ ดีทั้งชาวบ้าน ดีทั้งทางการ
อาลักษณ์สองคนเตรียมตัวมาอย่างดี แม้เดินทางไกลลำบากสักหน่อยพวกเขาก็ไม่บ่น
ออกจากเมืองหลวงไม่ทันไรเซียวอวี้ขอม้าจากแม่ทัพโจวตัวหนึ่งเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องนั่งอุดอู้อยู่ในรถม้าไปพร้อมกับจินเหยา เขาหมางเมินพระชายาของตนจนออกนอกหน้า ผู้ติดตามทั้งหลายรู้เห็นแต่ไม่มีใครกล้าปริปาก จินเหยาก็ไม่มีท่าว่าจะเดือดร้อน นางเองก็ไม่ได้นั่งในรถม้าของจวนอ๋อง แต่พาตัวเองไปนั่งรถม้าคันเดียวกับสาวใช้ทั้งสองของตน
จินเหยา อี้หลวน เสี่ยวเตี่ยวกำลังเล่นไพ่นกกระจอกกันอย่างเพลิดเพลิน แม้จะขาดไปหนึ่งขาก็ไม่มีปัญหา
“พระยาชาชนะตานี้แล้ว” เสี่ยวเตี่ยวกล่าวหน้าม่อย เพราะนางแพ้ไปหลายครั้งแล้ว กินน้ำจนท้องตึงไปหมด
“เจ้าต้องไปฝึกมาใหม่ พระชายาเป็นเซียนไพ่นกกระจอกเชียวละ”
“แค่เล่นแก้เบื่อเท่านั้น”
“ใกล้เย็นแล้วไม่รู้ท่านอ๋องจะแวะพักที่ใดนะเจ้าคะ”
จินเหยามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นใกล้มืดเต็มทีแต่ขบวนเดินทางยังไม่หยุดพัก น่าจะต้องนอนกลางป่าแน่แล้ว
“ท่านแม่ให้อะไรมาบ้าง” นางมิได้เดือดร้อนที่ต้องพักกลางป่า อย่างไรก็ปลอดภัยและไม่ได้ลำบากเกินไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้นัก
“น้ำปรุงรสหนึ่งไหใหญ่ เต้าหู้แข็งทรงเครื่อง เนื้อรมควันเปรี้ยวหวาน ปลาแห้งกรอบ นอกนั้นก็เป็นผงเครื่องปรุงเจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี่ยวตอบเพราะนางไปส่งจดหมายด่วนของจินเหยาที่บ้านเดิมเอง หนานกงลี่อิงจึงสั่งห้องครัวขนของพวกนี้ขึ้นรถม้ามาส่งที่จวนอ๋องในคืนนั้นเลย
จินเหยาพยักหน้ายิ้ม นางเริ่มชอบเด็กสาวเสี่ยวเตี่ยวแล้ว แม่นางน้อยอายุแค่สิบสาม แต่คล่องแคล่วฉะฉาน ครั้งนี้ที่ได้เดินทางมาด้วยเพราะอี้หลวนแนะนำ เพราะในบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งที่เพิ่มมาสามคน อี้หลวนถูกใจเสี่ยวเตี่ยวมากที่สุด มิใช่เลือกมาเพราะอายุมากที่สุดแต่อย่างใด
“หากคืนนี้ต้องพักตั้งกระโจมกลางป่า เจ้ารีบก่อไฟตั้งหม้อก่อน” จินเหยาหันไปสั่งอี้หลวน
“เจ้าคะ กลางคืนอากาศหนาว หากได้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ น่าจะหลับสบาย” แน่นอนว่าได้ชิมรสมือพระชายาอีก นางย่อมยินดี
“อือ”
“หยุด! คืนนี้พักที่นี่” เสียงของแม่ทัพโจวดังมาจากต้นขบวน รถม้าของจินเหยาก็หยุดลงทันใด จากนั้นได้ยินเสียงพวกทหารที่ติดตามแม่ทัพโจวมาด้วยลงจากหลังม้า กางกระโจมกันอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
เซียวอวี้พักกระโจมใหญ่ข้างกระโจมแม่ทัพโจว จินเหยาเลือกจะนอนในรถม้า นางขอให้พวกทหารกางกระโจมให้สาวใช้ของนางใกล้กับรถม้า หน้ากระโจมตั้งเตาไฟอย่างง่ายที่จินเหยาสั่งให้เตรียมมาด้วย
จินเหยาเปลี่ยนมาใส่ชุดเรียบง่าย แต่ยังคงไว้ซึ่งฐานะของตน นางม้วนแขนเสื้อขึ้นช่วยสาวใช้ทำกับข้าวด้วยตัวเอง พวกทหารก็ตั้งหม้อ ย่างเนื้อ ต้มน้ำแกงกันเช่นกัน ตอนที่จินเหยาลงมือทำ มีพวกทหารมายืนดูอยู่หลายคน บางคนมาช่วยสองสาวใช้เป็นลูกมือของจินเหยาด้วย
จินเหยาตั้งหม้อทำน้ำแกงเนื้อเปรี้ยวหวาน นางให้ทหารไปหาผักป่ามาได้มากมาย นางจึงผัดน้ำมันหมูแบ่งให้พวกเขาด้วย น้ำแกงเนื้อหอมไปทั่วบริเวณค่ายพักชั่วคราว อาลักษณ์ทั้งสองได้แต่กลืนน้ำลาย พวกเขากินเนื้อแห้ง แผ่นแป้งย่างและน้ำแกงจืดชืดของพวกทหารมาหลายวันจนรู้สึกเบื่อเต็มทน อยากจะลิ้มลองน้ำแกงของชายาลี่อ๋องแต่ก็ไม่กล้าขอ
จินเหยาเห็นพวกเขาแล้วก็แอบหัวเราะ ตอนน้ำแกงได้ที่ นางตักแบ่งให้เซียวอวี้กับแม่ทัพโจวคนละชามใหญ่ อีกสองชามแบ่งให้อาลักษณ์ทั้งสอง พวกนางนายบ่าวสามคนแบ่งไว้คนละชามใบเล็ก ที่เหลือจินเหยาให้พวกทหารแบ่งกันกิน
มีแต่เสียงชมไม่ขาดปาก บางคนกินเสร็จยังช่วยอาสาล้างจานชาม สองสาวใช้ไม่ต้องออกแรงแม้แต่นิด
ในกระโจมพักของเซียวอวี้ แม่ทัพโจวจิงเองก็กำลังยกน้ำแกงเนื้อซดคำใหญ่ “อาหารรสมือพระยาชาอร่อยมากทีเดียว ผู้น้อยถือว่ามีโชคไม่น้อยที่ได้ลองชิม”
โจวจิงรู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ใคร่จะเข้ากันได้ แต่ถึงอย่างไร้เจ้าตัวทั้งสองก็ไม่ได้แตกหักกันซึ่งๆ หน้า อย่างมากก็แค่หมางเมินกันบ้าง นี่นับว่าพอรับได้ แม้ท่านอ๋องจะเฉยชาไปบ้าง แต่พระชายากลับเข้ากันได้กับพวกทหารชั้นล่าง นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้ตัวเขาและพวกทหารลำบากใจนัก ที่พวกเขาสองสามีภรรยาหมางเมินกันพวกตนแค่ทำมองไม่เห็น ตาไม่ดู หูไม่ฟัง ปากไม่พูด นั่นย่อมไม่มีเรื่องใหญ่ใดให้ต้องวิตกกังวลแล้ว
เซียวอวี้ก้มลงมองสำรับอาหารของตัวเอง แม้จะเหมือนกับของโจวจิง แต่เขาดูออกว่าปริมาณมากกว่าของอีกฝ่าย ยังมีปลากรอบเพิ่มมาอีกอย่าง แม้จะเป็นอาหารของชาวบ้าน แต่รสชาติอร่อยติดลิ้น ซ้ำยังได้ดื่มน้ำแกงอุ่นท้องในยามที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้นับว่าดีอย่างยิ่ง
เขาหันมองหน้ากระโจมของสองสาวใช้ที่มีสามนายบ่าวนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ร่วมกันกินอาหารตรงหน้า เห็นใบหน้างดงามแดงปลั่งพระได้ดื่มน้ำแกงร้อนเข้าไป สองสาวใช้ตัวน้อยยิ่งพูดคุยสดใส
“วันหลังต้องขอให้พระชายาทำให้กินอีก อาหารอร่อยเช่นนี้ พระชายาเอาไปเปิดร้านได้เลยทีเดียว” โจวจิงกินเสร็จอย่างรวดเร็ว มือกำลังลูบท้องอย่างสบายใจ
เซียวอวี้กลับมองเขานิ่งก่อนจะจัดการกับอาหารของตนไปเงียบๆ จนกระทั่งอาหารหมดเกลี้ยงทุกอย่าง แม้แต่น้ำแกงสักหยดก็ไม่เหลือ
“ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะกินเยอะเช่นกัน”
“เดินทางเหน็ดเหนื่อยย่อมรู้สึกหิวเช่นกัน”
“ปกติท่านอ๋องมีน้ำแกงอร่อยเช่นนี้ดื่มทุกวันอยู่แล้วมิใช่หรือขอรับ”
“พ่อครัวในจวนฝีมือไม่เลว”
“เกรงว่าท่านอ๋องกินเยอะเช่นนี้ทุกมื้อกระมัง” เขามองออกว่าภายใต้อาภรณ์หรูหราเนื้อดีของลี่อ๋อง มิใช่มีแค่เนื้อหนังขาวๆ เท่านั้น
“ตอนเช้าฝึกกำลังบ้าง กินเยอะก็ไม่แปลก”
ยอมรับแล้ว?
โจวจิงยิ้มแล้วพยักหน้า เขาอายุน่าจะมากว่าลี่อ๋องสองปี เดิมอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่เข้าวัยหนุ่ม ผิวจึงคร้ามแดดอยู่มาก แต่รูปร่างกลับใกล้เคียงกับลี่อ๋องที่อยู่แต่ในรั้วในวัง นับว่าลี่อ๋องสูงใหญ่ไม่น้อย
“ท่านต้องการรู้อะไรหรือ?”
อยู่ๆ เขาก็ถาม โจวจิงเกือบสะดุ้ง “พิษร้ายที่สุดคือคนใกล้ตัว ข้ามิใช่คนเก่งกล้าสามารถมาจากไหน แต่ก็มิจำเป็นต้องเนิ่งเฉยเจียมเนื้อเจียมตัวมิใช่หรือ”
“ท่านอ๋อง ผู้น้อยมิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด แค่ชวนคุยเท่านั้น”
“แม่ทัพโจว ข้าชื่นชมท่าน” เซียวอวี้ยกยิ้มเล็กน้อย เขาลุกขึ้นไปเดินออกไปห่างจากกระโจม โจวจิงเดินตามไปเงียบๆ
“ท่านสามารถคบหาเป็นสหายกับข้าได้ เพราะข้ามิได้หวังตำแหน่งนั้น ไม่เคยคิด ไม่เคยอยากได้” พูดจบเขาก็หันกลับมาสบตาโจวจิง
แม่ทัพหนุ่มเม้มปากพักหนึ่งก็ยิ้มตอบ แล้วประสานมือคำนับลี่อ๋อง “ท่านอ๋อง โจวจิงต่ำต้อย แต่ก็ยินดีเป็นสหายกับท่านอ๋อง สามารถช่วยท่านอ๋องแบ่งเบางานได้ ท่านอ๋องแค่สั่งมาสักคำก็พอ”
“กุ้ยโจวยังมีงานมากมายรอข้าอยู่ ย่อมต้องได้ร่วมงานกับแม่ทัพโจวแน่นอน”
“โจวจิงยินดีช่วยเหลือ”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ตรงนั้นนานพอดู จนกระทั่งจันทราลอยเด่นกลางนภาจึงพากันกลับกระโจมพัก
