2
“ฉันสอนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟังค่ะ ดื้อเงียบ ไม่ยอมสุงสิงกับใคร แถมยังชอบแกล้งน้อง คอยกลั่นแกล้งน้องอยู่เรื่อย ทุกคนในบ้านก็เห็น”
“คุณก็จัดการให้เรียบร้อยสิ คุณก็เป็นแม่นะ ผมให้อำนาจการจัดการแก่คุณแล้ว” อุดมพูดปัดเพราะเหนื่อยกับงาน นั่นเท่ากับการมอบอำนาจให้ภรรยาใหม่จัดการทุกอย่างในบ้าน รวมถึงเรื่องเงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของสมาชิกในบ้านด้วย
เธอกลายเป็นคนใจร้าย ไม่เคารพแม่เลี้ยง และชอบรังแกน้องสาว เพื่อน ๆ ของดารากานต์ต่างเข้าใจเช่นนั้น รวมถึงเพื่อน ๆ คุณหญิงคุณนายทั้งหลายของศิรินทิพย์ก็เข้าใจเช่นนั้นไปด้วย
ยามค่ำคืนมาถึง เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม ดารินแอบร้องไห้อยู่บนเตียงเล็กๆ ของตัวเอง ถึงชีวิตจะมืดมนเพียงใด เธอยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอยึดเอาไว้ คือการตั้งใจเรียน
ทุกคืนหลังเสร็จงานบ้าน เธอจะนั่งอ่านหนังสือจนดึก เธอรู้ดีว่าไม่มีใครส่งเสียให้เรียนต่อ ถ้าอยากไปต่อให้ได้ เธอต้องพึ่งตัวเอง
เมื่อมหาวิทยาลัยประกาศรับสมัครสอบชิงทุน ดารินตั้งใจอย่างเต็มที่ เธออ่านหนังสือทุกวัน ตั้งใจอย่างแน่วแน่ เพื่อสอบให้ได้
ในวันที่ประกาศผล เธอแทบไม่เชื่อสายตา ชื่อของเธออยู่ในรายชื่อผู้ได้รับทุนเต็มจำนวนจนจบปริญญาตรี
เธอน้ำตาซึมอยู่หน้าบอร์ดประกาศ ในหัวมีเพียงเสียงของแม่ที่เคยพูดไว้ตอนเด็ก
2
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้ใจสู้เข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ”
ในขณะที่ใครหลายคนมีครอบครัวคอยซับเหงื่อให้ เธอกลับมีเพียงความอดทนเป็นเพื่อน เธอเก็บจดหมายทุนไว้แนบอกแน่น แล้วเดินกลับบ้านเงียบ ๆ ด้วยความหวัง
หลังจากนั้นดารินก็ตั้งใจเรียน เป้าหมายคือไม่ใช่แค่เรียนให้จบ แต่เธอต้องเรียนให้เก่งด้วย เพื่ออนาคตจะได้มีบริษัทดีๆ รับเข้าทำงาน และออกไปจากบ้านหลังนี้สักที
ชีวิตในมหาวิทยาลัยคือช่วงเวลาที่ดารินคิดว่าตัวเองจะได้หายใจอย่างอิสระที่สุด หลังจากต้องอยู่ภายใต้เงาของศิรินทิพย์และดารกานต์มาหลายปี
เธอทุ่มเทกับการเรียนอย่างหนัก รักษาเกรดเฉลี่ยเอาไว้ จนได้ทุนอย่างต่อเนื่อง ปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย ดารินได้รู้จักกับหมอภีม รุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ตอนนั้นเขาเพิ่งจบและทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้าน เขาอบอุ่น สุภาพ และมักคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ
สำหรับดาริน เขาคือ “แสง” ที่เข้ามาในชีวิตที่มืดมน
ทุกครั้งที่หมอภีมมารับหลังเลิกเรียน ดารกานต์มักจะโผล่มาด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“พี่ภีมขา ขอดาราติดรถไปด้วยได้ไหมคะ” เสียงหวานและแววตาออดอ้อน เชื่อมใจคนฟังได้เสมอ ภีมเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาว จึงไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง
ดารินไม่อยากขัดใจ เพราะคิดว่าเธอกับดารกานต์ก็คือพี่น้อง แต่ไม่นานนัก เธอก็เริ่มสังเกตสายตาของภีมที่มองน้องสาวต่างไปจากเดิม
วันหนึ่ง ดารินได้ยินเพื่อนพูดแว่ว ๆ ในโรงอาหาร
“เห็นหมอภีมไปกินข้าวกับดาราหลายครั้งแล้ว สองคนนี่ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
“ไหนว่าหมอภีมจีบดารินคนเป็นพี่ไง”
“น่าจะอยากจีบน้องเลยเข้าทางพี่มากกว่า ตอนนี้หมอภีมสนใจแต่ดารานะ ไม่เห็นสนใจดารินเลย”
หัวใจเธอเหมือนถูกบีบแน่น แต่ยังพยายามไม่เชื่อ จนกระทั่งวันนั้น วันที่เธอตามไปหาภีมที่โรงพยาบาล และเห็นภาพเขากับดารากานต์นั่งอยู่ด้วยกันที่มุมห้องกาแฟและเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันตลอด ไปไหนมาไหนด้วยกัน คบหากันอย่างเปิดเผยและประกาศความสัมพันธ์ว่าคบหากันเป็นแฟน
ดารินช็อกที่ได้รับรู้ เธอจึงดักรอเขาเพื่อเอ่ยถามความจริง
“พี่หมอคะ รินขอคุยด้วยหน่อยสิคะ”
“ได้สิ” ภีมตอบเสียงสุภาพแต่ท่าทีห่างเหิน
“พี่หมอคบกับดาราเหรอคะ”
“ใช่” เขาตอบโดยไม่ลังเล
“แล้วเรื่องของเราล่ะคะ”
“เรื่องของเราไม่เคยมีอะไรนะ พี่ก็แค่เอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว เธอเองก็ไม่ควรรังแกหรือทำร้ายดาราอีก”
“รังแกเหรอคะ” ดารินเอ่ยถามเสียงขื่น ภีมคืออีกคนที่เข้าใจว่าเธอเป็นคนที่ชอบรังแกน้องสาวตัวเองอย่างนั้นเหรอ
“ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าเธอเลวร้ายชอบรังแกน้องสาว เมื่อก่อนพี่คิดว่าเธอใสซื่อไร้เดียงสา เพราะเธอสร้างภาพ แต่ตอนนี้พี่ตาสว่างแล้ว”
“พี่ภีมคิดว่ารินเป็นคนเลวร้ายแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ”
“คนเราน่ะ รู้หน้าไม่รู้ใจ ทำเป็นใสซื่อที่แท้ก็มั่ว”
“มั่ว มั่วอะไรคะ”
“อย่าคิดว่าพี่ไม่เห็นว่าเธอขึ้นรถไปกับผู้ชายหลายคน ดารากับคุณน้าทิพย์เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเธอทำตัวเหลวแหลกเพียงใด คุยกันก็ดี วันนี้พี่ขอร้องอย่าให้เธอมายุ่งกับพี่อีก พี่รังเกียจผู้หญิงเลวร้ายแล้วก็มั่วผู้ชายแบบเธอเต็มกลืน” เขาพูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ดารินยืนช็อกอยู่ตรงนั้น เขาไปรู้อะไรมา ทำไมถึงได้พูดจารุนแรงขนาดนี้
ช่างเถอะ! ในเมื่อเขาเข้าใจแบบนั้น เธอก็ควรตัดใจซะ ชีวิตต้องยืนหยัดต่อไป
เสียงประกาศชื่อบัณฑิตดังต่อเนื่องกลางลานกว้างของมหาวิทยาลัย ดอกไม้สีสดและลูกโป่งรูปหัวใจเต็มไปทั่วบริเวณ ผู้ปกครองยิ้มทั้งน้ำตา มอบช่อดอกไม้ให้ลูกหลานด้วยความภาคภูมิใจ
แต่ในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ดารินยืนอยู่เงียบ ๆ กับช่อดอกไม้เล็ก ๆ ที่เธอซื้อมอบให้ตัวเองในวันสำเร็จการศึกษา
