บท
ตั้งค่า

บทที่ 1: กลิ่นกาแฟยามเช้า

ดร.หัตถา: (พยักหน้าเบา ๆ) “แน่นอน และจากที่คุณเล่า... มีคนหนึ่งที่ทะเลาะกับลุงบุญจงเสมอ ใช่ไหมครับ? คุณ... เอ่อ...”

(แกล้งทำท่าลืมชื่อ)

“คุณบอกชื่อเขามาอีกทีได้ไหม?”

วารีพูดออกมาเบา ๆ เหมือนยอมรับทั้งที่ยังไม่มั่นใจ

วารี: “...บุญจิต น้องชายของลุงบุญจงค่ะ”

ดร.หัตถาลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังสวนที่มีเงาไม้พลิ้วไหว

ดร.หัตถา: “กลิ่นซุปข้าวมันไก่... หอมลึกและลวงตา เหมือนความทรงจำบางอย่างที่เราฝังไว้ในใจ และไม่อยากเปิดออกมาอีกเลย...”

วารีรู้สึกได้ถึงบางอย่าง... ความจริงที่เริ่มคลายตัวออกมาช้า ๆ เหมือนน้ำซุปที่เคี่ยวข้ามคืน แต่เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกี่ยวข้องกับดร.หัตถาอย่างไร

แล้วจู่ ๆ ดร.หัตถาหันกลับมาพูดโดยไม่ส่งเสียงล่วงหน้า

ดร.หัตถา: “คุณคิดว่าเสียงในหัวของบัวลอย กับเสียงในหัวของฆาตกร... มันจะเป็นเสียงเดียวกันไหมล่ะ วารี?”

วารีนิ่งงันไป

กลิ่นดอกพุดซ้อนที่เคยหอมหวาน กลับกลายเป็นกลิ่นอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจอธิบายได้อีกต่อไป...

เสียงล้อรถเข็นของเจ้าหน้าที่พยาบาลแว่วอยู่ลิบ ๆ จากทางเดิน แต่ภายในห้องทำงานของวารี เสียงเหล่านั้นกลายเป็นเพียงฉากหลังของความคิดที่วุ่นวาย

วารีกางแฟ้มคดีออกบนโต๊ะ ภาพศพของลุงบุญจงในสภาพแหว่งวิ่นยังคงชัดเจนในใจ แม้จะเป็นภาพถ่ายขาวดำก็ตาม กลิ่นน้ำซุปข้าวมันไก่ที่โชยออกจากร้านของเขาเมื่อวานก่อนพบศพ... บัดนี้กลายเป็นกลิ่นที่ติดอยู่ในใจเธอด้วยรสชาติของความน่าสะพรึง

เธอหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งขึ้นมา ในนั้นเป็นภาพของบุญจิต กำลังชี้หน้าด่าทอพี่ชายในงานทำบุญบ้านเมื่อปีที่แล้ว สีหน้าทะเลาะรุนแรง แววตาเต็มไปด้วยโทสะ

“ใครกันแน่ที่กลัวความจริงจะถูกเปิดเผย” วารีพึมพำกับตัวเอง

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ

“ขออนุญาตครับคุณวารี”

เสียงของสารวัตรภูวดล นายตำรวจหนุ่มเจ้าของคดีดังกล่าวดังขึ้นพร้อมกับการเปิดประตูเข้ามาอย่างสุภาพ เขาถือแฟ้มรายงานบางอย่างมาในมือ

ภูวดล: “ผลพิสูจน์ DNA จากน้ำซุปที่ร้านข้าวมันไก่ออกแล้วครับ”

วารีเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเธอนิ่งสงบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นทุกวินาที

วารี: “เป็นของลุงบุญจงใช่ไหม?”

ภูวดล: (พยักหน้า) “ใช่ครับ... มีเศษเนื้อเยื่อที่ตรงกับโปรไฟล์ DNA ของลุงบุญจง ถูกพบในหม้อน้ำซุปหลัก”

วารีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในขณะที่ความเย็นเยียบไหลเข้ามาในอก

วารี: “นั่นหมายความว่าศพไม่ได้ถูกนำไปซ่อนไว้ที่อื่น... แต่ถูก ‘เสิร์ฟ’ ให้ลูกค้าทาน...”

ภูวดล: “และข่าวที่หลุดออกไปจะทำให้ร้านปิดตัวแน่นอนครับ... แต่ผมยังไม่ปักใจว่าเป็นฝีมือบุญจิต”

วารีหันไปมองเขา ท่าทีสงสัย

วารี: “ทำไมล่ะคะ? คุณมีข้อมูลอะไร?”

ภูวดลเดินเข้ามาวางแฟ้มบนโต๊ะ เปิดไปที่หน้าสุดท้าย

ภูวดล: “เมื่อคืน เราได้หมายค้นบ้านยายสา — บ้านติดกับร้านของลุงบุญจง... พบถุงพลาสติกเปื้อนเลือดแช่แข็งอยู่หลังตู้เย็น และมีเส้นผมของผู้ชายติดอยู่”

(หยุดเล็กน้อย)

“และเส้นผมนั้นตรงกับของลุงบุญจง”

วารีนิ่งไป

ยายสา — หญิงชราที่ดูเงียบขรึม ตาขุ่นแต่ยังคงตื่นตัว — เป็นเพียงคนเดียวที่เคยบ่นว่า “ข้าวมันไก่ของลุงบุญจงเหม็นคาว” อย่างออกหน้าออกตา

วารี: “แต่ทุกคนมองไปที่บุญจิต... เพราะเขาเคยทะเลาะกับพี่ชายเรื่องมรดก...”

ภูวดล: “ใช่ครับ และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ใครบางคน ‘อยากให้เราเชื่อ’ ก็ได้”

วารีเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดเบา ๆ

วารี: “ฉันต้องกลับไปคุยกับดร.หัตถาอีกครั้ง... ฉันเชื่อว่าเขารู้... มากกว่าที่เขาพูด”

ภูวดลพยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่จริงจัง

ภูวดล: “ระวังตัวด้วยนะครับคุณวารี…คนที่หลอกเก่งที่สุด มักจะเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึก ‘ปลอดภัย’ ที่สุดด้วย”

วารีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆดำเริ่มเคลื่อนตัวปกคลุมฟ้า สัญญาณพายุที่กำลังจะมา

เธอรู้ดีว่าไม่ใช่แค่พายุธรรมชาติ...

แต่คือพายุของความลับที่ถูกหมักหมมไว้ในหม้อน้ำซุป... และในหัวใจของคนบางคน

เสียงฝนเริ่มโปรยลงมาจากฟากฟ้า เมื่อวารีเดินกลับมาถึงโรงพยาบาลจิตเวชวังแก้วอีกครั้ง ร่มคันเล็กสีดำแทบจะบังลมแรงไม่อยู่ ป้ายไม้ที่สลักชื่อของโรงพยาบาลแกว่งไปมาอย่างน่ากังวล

ห้องตรวจของ ดร.หัตถา ยังคงเงียบงันเหมือนเดิม ดอกพุดซ้อนในแจกันถูกเปลี่ยนใหม่ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยปะปนกับไอน้ำฝนที่ติดมากับตัวของวารี

ดร.หัตถายังนั่งอยู่ตรงเดิม ราวกับไม่เคยลุกไปไหน

ดร.หัตถา:

“คุณกลับมาเร็วกว่าที่ผมคิดนะครับ”

วารี:

(นั่งลงโดยไม่พูดอะไรสักพัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบ)

“มีบางอย่างที่ฉันอยากรู้... และฉันคิดว่าคุณอาจจะช่วยฉันได้”

ดร.หัตถาเอียงหน้าช้า ๆ ดวงตาคมจ้องมองเธอราวกับอ่านใจ

ดร.หัตถา:

“แล้วคุณกำลังตั้งคำถาม... กับใคร?”

วารี:

“กับทุกคนค่ะ... รวมถึงตัวฉันเองด้วย”

เธอเปิดแฟ้มแล้วดันภาพถ่ายบางส่วนไปตรงหน้าเขา — ภาพของลุงบุญจง ผู้ตาย, ร้านข้าวมันไก่, และบ้านของยายสา

วารี:

“คุณเคยพูดว่ากลิ่นสามารถเชื่อมโยงความทรงจำ… แล้วถ้ากลิ่นนั้นไม่ได้แค่ปลุกอดีต แต่ ‘ปิดบัง’ อดีตล่ะคะ?”

ดร.หัตถายิ้มบาง ๆ เขาพิงพนักเก้าอี้ เหมือนกำลังพิจารณาเธอผ่านคำถาม

ดร.หัตถา:

“คุณเชื่อว่ามีคนใช้กลิ่น... ปกปิดการฆาตกรรม?”

วารี:

“ใช่ค่ะ... และกลิ่นพุดซ้อนอาจไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะความสวยงามเท่านั้น... มันอาจเป็น ‘สิ่งสะกด’ บางอย่าง... อย่างที่คุณถนัด”

ดร.หัตถาหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงคล้ายไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับ

ดร.หัตถา:

“คนเรามีเหตุผลในการซ่อนบางอย่างเสมอครับ... โดยเฉพาะคนที่ ‘กลัวตัวตนของตัวเอง’ จะถูกมองเห็น”

วารีมองตรงเข้าไปในดวงตาเขา เสียงฝนด้านนอกตกหนักขึ้น ราวกับเน้นย้ำทุกคำพูด

วารี:

“คุณรู้จักยายสาไหมคะ?”

ดร.หัตถาชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที — เสี้ยววินาทีที่เพียงพอให้วารีสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

ดร.หัตถา:

“เคยเห็นครับ... เธอเคยมารักษาที่นี่เมื่อห้าปีก่อน... วินิจฉัยว่าเป็น ‘โรคหลงผิดแบบหวาดระแวง’”

วารี:

“แต่ตอนนี้ยายสาเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรม... ถ้าเธอป่วยจริง เธอจะอำพรางศพได้ขนาดนั้นหรือคะ?”

ดร.หัตถาหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบช้า ๆ ดวงตานิ่งสนิท

ดร.หัตถา:

“ผู้ป่วยบางคน... ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิดนะครับคุณวารี

บางคน ‘ฉลาด’ จนเกินกว่าจะวินิจฉัยด้วยตำรา

บางคน... ‘ฉลาด’ จนสามารถควบคุมจิตใจของหมอที่รักษาเธอได้”

ห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงนาฬิกา... และลมหายใจของทั้งสองที่ดูเหมือนจะดังขึ้นในบรรยากาศตึงเครียด

วารี (เสียงเบา):

“หรือคุณเอง... ก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเธอควบคุม?”

ดร.หัตถาหันไปมองแจกันดอกพุดซ้อน

ดร.หัตถา (กระซิบเบา ๆ):

“หรือไม่ก็... ผมเป็นคนที่ ‘เลือก’ จะถูกควบคุมเอง”

วารีขนลุกวาบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel