Ep.2 เธอขอร้องให้ฉันมาคุยกับคุณ(2)
“แล้วคุณไม่คิดจะให้ผมไปสวัสดีคุณยายของคุณก่อนเหรอ”
“ไม่ดีกว่า เวลานี้เป็นเวลาที่คุณยายนั่งสวดมนต์และทำสมาธิก่อนนอนค่ะ”
“แปลก” แล้วนาคินก็เดินตามหญิงสาวขึ้นไปชั้นบนเงียบๆ และสายตาคมก็มองสำรวจบริเวณบ้านไปด้วย
ที่นี่น่าอยู่ไม่น้อย บรรยากาศดี ร่มรื่น มีลมพัดผ่านตลอด อากาศเย็นสบาย มิน่าเล่า นารีถึงได้อยากมาอยู่ที่นี่
“นารีอยู่ห้องนี้ค่ะ”
แล้วมณีจันทร์ก็เปิดประตูห้องนอนเข้าไป แล้วเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ไฟ ขณะที่นาคินที่เดินตามเธอเข้ามาในห้อง ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาน้องสาวของเขาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนารี เขาจึงหันมามองเธอด้วยแววตาคำถาม และเริ่มไม่ไว้ใจ
‘เขาอาจถูกหลอกก็ได้ แค่หล่อนเขาไม่กลัว แต่กลัวคนที่อยู่เบื้องหลังหล่อนมากกว่า เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นใคร’
เมื่อมณีจันทร์ยังไม่พูดอะไร แต่ก็มองชายหนุ่มแบบหยั่งเชิง
คนเลือดร้อนที่ไม่ชอบให้ตนเองสงสัยนาน จึงโพล่งถามออกไปด้วยความอยากรู้คำตอบ เขาอยากจะพบน้องสาวของเขาเต็มแก่แล้ว
“ไหนล่ะน้องสาวของผม”
“น้องสาวของคุณอยู่ในห้องนี้แหละค่ะ เธอยืนอยู่ตรงหน้าคุณ”
“ห๊ะ!? คุณว่าอะไรนะ นารียืนอยู่ตรงหน้า แล้วทำไมผมไม่เห็นล่ะ นี่คุณเล่นซ่อนหาอะไรกับผมรึเปล่าเนี่ย เด็กน้อย”
มณีจันทร์หน้าบึ้งที่ถูกมองว่าเธอเป็นเด็กน้อย
“ถ้าคุณมองด้วยตา คุณคงไม่สามารถมองเห็นนารีได้หรอกค่ะ คุณต้องนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้โล่ง แล้วนึกถึงแต่น้องสาวของคุณ เมื่อจิตคุณว่าง คุณก็จะเห็นเธอเอง”
“นี่ เดี๋ยวนะ ไอ้ที่คุณบอกผมมาเนี่ย ผมว่ามันไม่ปกตินะ ทำไมผมจะต้องทำสมาธิเพื่อที่จะได้เจอนารีด้วย น้องสาวของผมเป็นคนนะ ไม่ใช่ผี!” เขาเผลอใส่อารมณ์กับเธอ
มณีจันทร์ไม่ตอบ เธอกำลังพยายามทำใจให้สงบมากที่สุด เพราะสิ่งที่เธอกำลังจะบอกกับเขา กำลังจะทำให้เขาเห็น มันค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้
หญิงสาวจึงปล่อยให้ความเงียบ ให้คำตอบแก่ชายหนุ่มเอง
“คุณเมนี่ คุณเล่นตลกอะไรหรือเปล่า” เมื่อใจเย็นลง ชายหนุ่มจึงถามออกไปอีกครั้ง
เธอไม่ตอบอีก แต่หันไปมองทางหน้าต่างที่นารีเดินไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็หน้ามามองเขา สลับกับมองไปที่หน้าต่าง
แล้วนาทีนั้นเองที่สายลมไม่รู้ว่าพัดมากทิศทางไหน พัดวูบมากระทบผิวกายของนาคินให้ขนลุกซู่ ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมาลูบ แล้วหันไปมองสีหน้าที่ไม่ได้ล้อเล่นของสาวน้อยตรงหน้า
ตอนนี้เธอนั่งลงกับพื้นห้อง และหลับตาลง เขาก็เริ่มเอะใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“โอเค มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมจะทำตามที่คุณบอกก็แล้วกัน” แล้วชายหนุ่มก็วางกระเป๋าเป้ลง แล้วนั่งสมาธิ พยายามทำจิตใจให้โล่ง แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน เมื่อสมองเกิดคำถามขึ้นมาว่า
‘นารีน้องยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม’
ผ่านไปราวๆห้านาที
‘นารี พี่เป็นห่วงน้องนะ น้องอยู่ที่ไหน’
“น้องอยู่ตรงหน้าพี่ชายแล้ว แต่อย่าลืมตานะคะ ฟังแค่เสียงของรีก็พอ จำเสียงรีได้ใช่ไหม”
‘ทำไมพี่จะจำไม่ได้ แล้วทำไมรีถึงไม่ให้พี่ลืมตาดู มาอายอะไรพี่ตอนนี้’
ทั้งที่ในใจคิดแล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องความอายอะไร แต่เขาทำใจไม่ได้ต่างหากที่จะคิดว่า เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
“รีไม่อาจทำให้ใครมองเห็นรีได้ นอกจากเมนี่เพียงคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ เพราะเมนี่มีสื่อ...สัมผัส...วิญญาณ...ได้” เธอบอกพี่ชายเป็นนัยๆ ช้าๆ ชัดๆ
‘งั้นก็หมายความว่า รีเป็นวิญญาณงั้นเหรอ! ไม่จริงใช่ไหมน้องรัก มันไม่จริงใช่ไหม!’
นาคินได้ยินเพียงเสียงร้องไห้กลับมาเท่านั้น หัวใจของเขาแทบสลาย
อยากจะลืมตาดูว่าน้องสาวของเขายืนอยู่ตรงหน้าหรือเปล่า หรือว่าใครจับเธอกักขังซ่อนเอาไว้แถวนี้ แต่เพราะอยากจะถามคำถามต่อไป เขาจึงพยายามหลับตา แล้วใจก็จดจ่ออยู่ที่น้องสาวของเขาเพียงคนเดียว
‘รี เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับรีให้พี่ฟังได้ไหม ได้โปรด’
“ได้ค่ะ รีจะเล่าความจริงให้พี่ชายฟังทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย คุณเมนี่คะช่วยทำให้พี่นาคินเห็นนารีด้วยค่ะ”
มณีจันทร์จึงคลานเข่าอ้อมไปนั่งทางด้านหลังของนาคิน แล้วใช้มือข้างหนึ่งแตะที่หัวไหล่ของเขา
