บทที่ 2 จบตอน
“เป็นไงล่ะมาร์ค ได้คนที่จะมาแต่งรีสอร์ต ใหม่แล้วรึลูก”
“ครับแม่ เป็นน้องสาวเพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะครับ เพิ่งจะเริ่มทำบริษัทของตัวเองแต่ก็ยังไม่เป็นทางการเหมือนกับว่าเขารับทำแค่เป็นช่วงระยะเวลาหรือตามความพอใจของคนทำน่ะครับ แต่ได้ข่าวว่าฝีมีดีงานเข้าไม่ขาดเลยลองไปคุยด้วยตัวเองดูก็เข้าท่าดี และมีทัศนคติในการออกแบบตกแต่งคล้ายๆ กันด้วยก็เลยตกลงว่าจ้างเขา”
“แบบนี้ก็มีด้วย หึหึ แต่ก็ดีแล้วล่ะลูก ที่หาคนที่สนใจและทำงานไปในทางเดียวกันได้ ดีกว่าทำๆ ไปแล้วนึกเบื่อแล้วก็ออกไป เราก็ต้องเสียเวลาหาคนมาแทน”
นายหญิงวาริน นึกประหลาดใจที่ยังมีคนที่รับงานตามอารมณ์ความพอใจของตัวเองมากกว่าอยากจะรับงานเพื่ออยากได้เงินเยอะๆ นับว่าคนที่รับงานนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูงทีเดียว
“แล้วนี่นายใหญ่ไปไหนล่ะครับตั้งแต่มาไม่เห็น ปกติติดคุณแม่แจกลัวแต่ว่าผมเข้าใกล้นายหญิงวารินคนสวยจะตายไป”
นายหัวหนุ่มถามถึงบิดา เมื่อไม่เห็นว่าวันนี้นายใหญ่นิคลอส เฝ้าศรีภรรยาอย่างทุกวัน ใครๆ ต่างก็รู้ว่านายใหญ่ทั้งรักและหวงนายหญิงวาริน แค่ไหน หึงแม้กระทั่งห้ามไม่ให้ลูกชายทั้งสามหอมแก้มนายหญิงของตน แต่ลูกๆ ทั้งสามคนก็หาฟังไม่และมักจะขโมยหอมแก้มนวลๆ ของมารดาเสมอ ทำให้ผู้เป็นบิดาต้องคอยเฝ้าระวังไม่ห่าง แทบจะตามติดแจ จนบางครั้งคนเป็นภรรยาก็เบื่อหน่าย พอบอกไปตรงๆ นายใหญ่ที่ตัวสูงใหญ่ไม่แพ้ลูกๆ ก็จะงอนไม่ยอมกินข้าวปลา และลูกๆ ต้องมาคอยช่วยงอนง้อทุกครั้งไป มันน่าดูเสียที่ไหนกันที่ชายวัยหกสิบกว่าจะมาทำท่างอนเหมือนเด็กๆ
“ดูมาร์คพูดเข้า พ่อเขาไปดูคนงานเขาเก็บมะพร้าวน่ะ เห็นว่าได้ลิงใหม่มาสองตัวกำลังสอนให้เก็บมะพร้าวอยู่”
นายหญิงตีแขนแกร่งลูกชายเบาๆ อย่างขวยเขิน และมันก็สร้างรอยยิ้มเล็กๆ บนปากหยักได้รูปนั่นทำให้ใบหน้าที่กระด้างอยู่เป็นนิจนนั้นอ่อนโยนลงและน่ามองขึ้นอีกเท่าตัว จะมีใครบอกลูกชายนางไหมหนอว่ารอยยิ้มของเขาช่างสวยงามและสว่างไสวไม่แพ้ชายใดเลยหรืออาจจะงดงามกว่าชายใดเสียด้วยซ้ำ มันทำให้ใบหน้าเย็นชานั้นหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเลยทีเดียว แต่รอยยิ้มนั้นหาได้ยากยิ่งบนใบหน้าของนายหัวมาร์ค เหมันต์ หิรัญวารินทร์
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับแม่”
ชายหนุ่มลูกขึ้นเต็มความสูง188 เซนติเมตร พลางบิดกายไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะโฉบจมูกโด่งคมขโมยความหอมกรุ่นของมารดาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายใหญ่เดินมาลิบๆ
“ไป คอบร้า” สิ้นเสียงเรียก เจ้าคอบร้าก็กระโดดวิ่งตามนายหนุ่มไปอย่างยินดี นายหญิงวารินมองตามบุตรชายคนโตไปอย่างแสนรัก พลางหันมายิ้มหวานให้นายใหญ่ที่เดินหน้าตึงๆ ขึ้นเรือนมา
“เมื่อกี้พ่อเห็นเจ้ามาร์ค มันมาเกาะแกะแม่รึเปล่า ฮึ่มเจ้าพวกนี้เผลอเป็นไม่ได้เชียว”
“แหมคุณพี่คะ นั่นน่ะลูกนะคะ จะหึงจะหวงอะไรนักหนา แก่ๆ กันแล้ว”
“ได้ที่ไหนกันคุณ มันโตจนจะแก่แล้วมันยังไม่มีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตน แต่ดันมาขโมยหอมแก้มเมียคนอื่นนี่”
“แต่เมียคนอื่นนี่ คือแม่ของเขานะคะคุณพี่” นายหญิงวาริน บอกกับสามีพลางหอมแก้มเอาใจจนผู้เป็นสามีขี้หึงยิ้มออก เปลี่ยนโหมดเป็นอารมณ์ดีกะทันหัน
“โธ่น้องล่ะก็ ก็พ่อหวงของพ่อนี่จ๊ะแม่จ๋า พวกมันโตๆ กันแล้วให้มันไปหาเมียเอาเอง จะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับเราสองตายายไงจ๊ะและอีกอย่างเราก็จะได้อุ้มหลานกันด้วยไง”
นายใหญ่เข้ามาโอบกอดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอย่างเอาใจพร้อมกับจี้จุดร้อนให้นางโอนอ่อนผ่อนตาม
“จริงด้วยค่ะคุณพี่ ดูสิตามาร์คน่ะสามสิบหกแล้วนะคะ อีกไม่กี่ปีจะสี่สิบแล้วตาคิมกับตาวัตสันนั่นยิ่งแล้วใหญ่ลอยไปลอยมาเป็นพ่อพวงมาลัย เฮ้อแล้วเมื่อไหร่เราจะได้อุ้มหลานล่ะคะ น้องน่ะอิจฉาเพื่อนๆ นะคะ เขาได้อุ้มหลานกันแล้ว”
สองตายายมองหน้ากันอย่างหนักใจเมื่อลูกชายทั้งสามที่ไม่มีทีท่าว่าจะตกลงปลงใจกับสาวใด สายตาที่เริ่มฟ้าฟางลงไปบ้างของทั้งสองทอดไปยังผืนน้ำสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้ากว้างนั้นทอประกายแดงอมส้ม พร้อมกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มจมหายลงไปในมหาสมุทร และเริ่มลับจากขอบฟ้าไปทีละนิดก่อนท้องฟ้างามจะได้ต้อนรับความมืดมิดแห่งรัตติกาล
