1 คำสัญญา
ท่ามกลางหิมะแรกที่หนาวเหน็บ คงไม่เท่าใจที่เหน็บหนาว
มือบางกระชับเสื้อหนาวที่ตัวเองสวมอยู่ในแน่นขึ้น เมื่อความหนาวเย็นมันเสียดแทงกระดูก ก่อนจะรีบย้ำเท้ากลับบ้าน เพราะมีอีกชีวิตรออยู่
เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นทำให้หนูน้อยที่นั่งขีด ๆ เขียน ๆ อยู่บนโต๊ะขนาดเล็กหันมองทางประตูทันที ก่อนจะทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งไปหาร่างบางแสนคุณเคย
หมับ
“คุณแม่กลับมาแล้ว” ทันทีที่ได้กอดแม่ เด็กหญิงตัวน้อยมีนามว่า พระพาย ก็พูดอย่างออดอ้อน
“คิดถึงจังเลยค่ะ”
“คิดถึงแม่หรือคิดถึงขนมน้า” คุณแม่ยังสาวหรือชาลิสาพูดตอบ
“คิก ๆ ทั้งสองเลยค่า” เมื่อแม่รู้ทันก็ไม่คิดจะปิดบัง ยอมรับออกมาตรง ๆ ทำเอาคนเป็นแม่อมยิ้มกับความตรงไปตรงมาของลูกสาว
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูพายให้” ชาลิสาหันไปพูดบอกเจ้าของหอพักที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เพราะเธอต้องออกไปทำงาน จึงต้องหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลลูกระหว่างวัน โชคดีที่เจ้าของหอพักนั้นเอ็นดูลูกสาวของเธอ จึงช่วยรับเลี้ยงโดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ แต่ด้วยความเกรงใจ เธอก็มักจะทำอาหารและขนมไปให้อีกฝ่ายเสมอ เป็นการตอบแทน
“ยินดีจ้ะ พายก็ไม่ได้ดื้ออะไร” แมรี่เจ้าของหอพักพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ
“ขอบคุณคุณป้าสิคะ”
“ขอบคุณค่ะ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มแฉ่งไปให้ ทำเอาเจ้าของหอเอ็นดูจนไม่รู้จะเอ็นดูอย่างไรในความน่ารักของเด็กสาว
หลังจากพูดลากันต่ออีกสองสามประโยค สองแม่ลูกก็เดินจูงมือกันขึ้นห้องพัก
“หิวหรือยังคะ” ชาลิสาเอ่ยถามลูกสาวระหว่างเดินขึ้นบันไดมา เนื่องจากห้องพักเธออยู่ชั้นสอง จึงไม่ค่อยได้ใช้ลิฟต์ เธอมักจะเดินขึ้นบันไดกับลูก เป็นการยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายไปในตัว
“หิวแล้วค่ะ แต่พระพายทนได้”
“แม่ขอโทษนะคะ วันนี้แม่เลิกงานช้า ถ้าถึงห้องแล้วเดี๋ยวแม่จะรีบทำกับข้าวให้ แต่พระพายต้องช่วยแม่ทำด้วย จะได้เสร็จเร็ว ๆ ตกลงไหมคะ”
“ตกลงค่า”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอต้องรีบกลับห้อง เพราะลูกสาวตัวน้อยของเธอเป็นคนเลือกกินนั่นเอง พระพายจะไม่ยอมกินอาหารที่คนอื่นทำ
แกมักจะหิ้วท้องรอเธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะเลิกช้า กลับดึกแกก็จะรอ
ในบางครั้งเธอเลยต้องทำอาหารใส่กล่องไว้ให้แมรี่อุ่นให้พระพายกินในตอนเย็น ถ้าหากวันนั้นเธอเลิกงานดึก ส่วนวันนี้นั้นมีงานด่วนเข้ามาทำให้เธอเลิกงานเลท
“คุณแม่ขา เท่านี้พอหรือยังค้า” หลังจากยืนเด็ดขั้วสตรอเบอร์รี่ไปได้สักพักพระพายก็เอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ ในความคิดของเธอนั้นมันน่าจะพอแล้ว เพราะเธอยืนดึงไปนานแล้ว แต่ทว่าในถ้วยนั้นมีสตรอเบอร์รี่ไม่ถึงสิบลูก
“หืม ตัวแสบ แอบกินสตรอเบอร์รี่แม่หมดแล้ว” คุณแม่คนสวยว่าขึ้น ก่อนจะยื่นมือไปเช็ดปากลูกสาวที่มีเศษสตรอเบอร์รี่ติดอยู่
เป็นหลักฐานมัดตัวได้เป็นอย่างดี ว่าสตรอเบอร์รี่ที่หายไปนั้น หายไปไหน
“คิก ๆ ก็พระพายหิวนี่คะ” ว่าพร้อมกับเงยหน้ามองแม่
ทำตาปริบ ๆ แล้วแบบนี้ แม่อยากเธอจะใจร้ายดุลูกได้อย่างไรกัน
“แม่ทำซุปฟักทองเสร็จแล้ว เดี๋ยวพระพายกินซุปฟักทองรอแม่ไปก่อนนะคะ ส่วนสตรอเบอร์รี่ที่เหลือเดี๋ยวแม่จัดการต่อเอง”
“ได้ค่า รักคุณแม่ที่สุดดดด” ว่าแล้วก็เขย่งตัวหอมแก้มคุณแม่ที่โน้มตัวมาคุยด้วย
ลับหลังลูกสาวตัวน้อยไปแล้วชนิกานต์ก็ลงมือจัดการกับสตรอเบอร์รี่เหลืออยู่ เธอเลือกทำเครปง่าย ๆ ตกแต่งด้วยครีมสดและสตรอเบอร์รี่ เพราะใช้เวลาไม่นาน ก่อนจะเอาไปเสิร์ฟเป็นอาหารหวานตบท้ายในลูกสาวตัวน้อย
สองแม่ลูกใช้เวลาทานมื้อค่ำด้วยกันราว ๆ สามสิบนาทีก่อนจะช่วยกันเก็บจานไปล้างรวมถึงอุปกรณ์ทำครัวอื่น ๆ ชนิกานต์เธอให้ลูกอยู่ช่วยเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะให้แกไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน
“วันนี้ฟังนิทานเรื่องอะไรดีคะ” และก็เป็นประจำของทุกคืนก่อนนอนที่คุณแม่คนสวยต้องเล่านิทานกล่อมนอนให้ลูกฟัง
“คุณแม่ขาวันนี้เล่าเจ้าหญิงผมยาวได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงคนหนึ่งนามว่าโซเฟีย เจ้าหญิงโซเฟียถูกแม่มดลักพาตัวไปตั้งแต่ยังเด็ก...”
“หลังจากนั้นเจ้าชายก็มาช่วยเจ้าหญิงโซเฟียที่ถูกแม่มดขังไว้ในหอคอยกลางป่า แล้วพาไปพบพระราชากับราชินี”
“ก่อนทั้งสองจะได้แต่งงานกัน...”
“แล้วพระพายจะได้เจอคุณพ่อแบบเจ้าหญิงราพันเซลไหมคะ” หลังจากนิทานจบลง หนูน้อยก็หันไปถามแม่ที่ขยับตัวเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่หัวเตียงตามเดิม
“...ได้เจอสิคะ แต่ต้องรอให้พระพายโตกว่านี้ แม่จะพาไปหาคุณพ่อนะคะ” คำถามของลูกสาวทำให้ชนิกานต์สตั้นไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบ แม้อยากจะโกหกลูกว่าคุณพ่อที่แกอยากเจอนั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว ก็กลัวว่ามันจะทำร้ายจิตใจของลูกจนเกิน เลยได้แต่รอเวลาให้ลูกโตขึ้น แล้วค่อย ๆ อธิบายเรื่องพ่อให้แกฟัง ว่าพ่อแม่นั้นเลิกรากันไปแล้ว คงไม่ได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างที่แกหวัง และวาดฝันเหมือนในนิทาน
“จริงหรอคะ...คุณแม่สัญญากับพระพายแล้วนะคะ” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจดังขึ้น
“ค่ะแม่สัญญา” ทำให้ผู้เป็นแม่ให้คำมั่นสัญญาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะกลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคอ หากเวลานั้นมาถึงเธอจะสามารถทำอย่างที่ให้สัญญากับลูกได้หรือไม่ เธอเองก็ไม่แน่ใจ หากเขามีครอบครัวใหม่ไปแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นไปอีก เพราะขนาดว่าในตอนที่เขายังไม่มีครอบครัว เขาก็ยังตัดสัมพันธ์กับเธออย่างไม่ไยดี
ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน
วันที่เธอดีใจที่สุดเป็นวันเดียวกับวันที่เธอเสียใจมากที่สุดเช่นกัน
“กร จำเรื่องทุนที่ฟางเคยบอกได้ไหม ฟางได้ทุนไปเรียนโทต่อด้วยล่ะ” ร่างบางในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาแฟนหนุ่ม ในที่นั่งประจำหลังเลิกคลาส ที่เขามักจะมานั่งรอเธอตรงนี้เสมอ
“อืม” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบราวกับไม่สนใจ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ดีใจกับฟางหน่อยหรอ”
“ฟางมีเรื่องจะบอกกรแค่นี้ใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วกรไปทำงานก่อนนะ” ว่าจบขอเตรียมจะลุกขึ้นทันที
“เดี๋ยวสิ กรเองก็ยื่นทุนเหมือนกันหนิ เป็นไงบ้าง...มะ ไม่ผ่านหรอ” เสียงหวานแผ่วลงในทันที เมื่อคิดว่าแฟนหนุ่มนั้นไม่ได้ทุนเช่นเดียวกันกับเธอ ถึงว่าล่ะ เขาถึงดูนิ่ง ๆ ไม่ยิ้ม ไม่พูดไม่จากับเธอเหมือนก่อน แต่จะเป็นไปได้ไง เก่ง ๆ แบบเขานี่นะจะไม่ได้ทุน เธอไม่อยากจะเชื่อเลย
"...” ส่วนคนถูกถามนั้นกลับเงียบเป็นคำตอบ
“ไม่เป็นไรนะ ไว้ค่อยยื่นใหม่ ฟางจะช่วยกรเอง แล้วก็จะคอยเป็นกำลังใจให้กรด้วย” ว่าจบก็ฉีกยิ้มหวาน ๆ ให้เขา แต่ก็ได้รับเพียงใบหน้าเรียบเฉยตอบกลับมา ไม่มีการยิ้มกลับหรือยีหัวเธอเหมือนอย่างเคย
“แล้วนี่กรจะไปทำงานใช่ไหม ฟางไปด้วย”
“วันนี้ฟางไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวกรทำแทนให้เอง ฟางไปฉลองกับครอบครัวเถอะ”
“แต่ว่า…”
“เอาตามนี้” ว่าจบก็หยิบกระเป๋าเดินจากไปในทันที ทิ้งให้เธอมองตามด้วยความรู้สึกหน่วง ๆ ในใจ ก่อนจะพยายามปลอบใจตัวเอง ว่าเขาอาจจะคงเสียใจอยู่ เลยทำให้เขาเย็นชาใส่เธอแบบนี้ เห็นทีต้องทำขนมแอบไปเซอร์ไพรส์ที่ห้องแล้ว
แต่ทว่าขนมในมือกับร่วงหล่นลงพื้นไม่มีชิ้นดี ตัวเธอสั่นไปหมดกับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพที่เขากำลังซุกไซร้ซอกคอของผู้หญิงคนอื่นอยู่บนโซฟาตัวเล็กที่เธอเป็นคนเลือกซื้อมัน
“นะ นี่มันอะไรกันกร” หยาดน้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาคู่สวย พร้อมจะไหลทุกเมื่อ
“ก็อย่างที่เห็น” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นสวม
“ใครหรอกร แฟนหรอ”
“อืม พี่แต่งตัวเถอะ ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่ง” เขาหันไปตอบหญิงสาวที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก ไม่ได้สนใจเธอที่ยืนอยู่ในห้องด้วยเลยแม้แต่น้อย ทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ
“กร...” แหมะ สุดท้ายก็ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ หยดน้ำตาไหลเป็นสาย ไร้ซึ่งคำอธิบาย และคำปลอบโยนจากเขา
“ถ้าจะร้องก็ไปร้องที่อื่น อย่ามาร้องไห้ที่ห้อง น่ารำคาญชะมัด” ว่าจบก็เดินโอบเอวหญิงสาวอีกคน ผ่านหน้าเธอไปทันที แต่ก่อนไปเขาก็หันมาพูดบางอย่าง ทำเอาเธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“กรเปลี่ยนใจแล้ว ถ้าอย่างร้องไห้ ก็ร้องให้พอ เพราะคืนนี้กรคงไม่กลับห้อง”
“อ้อ ก่อนออกไปก็อย่าลืมล็อกห้องให้กรด้วยนะ”
