บทที่5 เสี่ยวซู่
เยว่เฟิงหนิงเข้าใจท่าทีเช่นนั้นดี นางทอดถอนใจก่อนจะเอ่ย “คืนที่ผ่านมา ข้าฝันประหลาด ฝันว่าได้พบเทพเซียนผู้หนึ่ง เทพเซียนบอกว่าสิ่งที่ข้าทำไม่ต่างอันใดกับฆ่าตนเอง ให้ข้าเปลี่ยนตัวเองเสีย จะได้ไม่เสียใจภายหลัง แม้ข้าจะไม่เชื่อเรื่องงมงายนัก แต่พอคิดดู ข้าก็ทำไม่ถูกจริง ๆ ข้าจึงคิดว่าตนควรจะทำในสิ่งที่ควรทำ”
“เช่นนี้เอง...บ่าว บ่าวดีใจยิ่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวซู่ไม่สงสัยคำพูดนั้นแม้แต่น้อย กลับกันคำบอกเล่านี้กลับเป็นคำตอบของสิ่งที่นางสงสัยอยู่ก่อนหน้านี้ ที่แท้เพราะฝัน ฮูหยินจึงสะดุ้งตื่นและถามนางว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่
เรื่องเช่นนี้ มิรู้เป็นเพียงฝันเพ้อพบ หรือสวรรค์บันดาล แต่ดียิ่ง นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฮึก หลายปีมานี้ บ่าวเฝ้าฝันว่าฮูหยินจะออกไปนอกเรือนมาโดยตลอดเลยเจ้าค่ะ บ่าว ฮึก บ่าวอยากเห็นคุณหนูใหญ่ที่ร่าเริง สดใสเช่นตอนก่อนแต่งเข้าสกุลเฉินเจ้าค่ะ” ยิ่งพูด เสี่ยวซู่ก็ยิ่งห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แท้จริงแล้วแม้ว่านางจะอยู่นอกสายตา แต่ก่อนหน้านั้นนางก็เคยทำหน้าที่ดูแลฮูหยินมาก่อน
ในตอนนั้นนางเป็นสาวใช้ในเรือนของนายท่านเว่ยหลาน เป็นผู้ที่ช่วยนายท่านเว่ยหลานเฝ้าไข้ให้กับคุณหนูที่เจ็บสาหัส ตอนหลังนายท่านใหญ่ก็ให้เจียวเจียวมาอยู่ข้างกายคุณหนู นางจึงต้องถอยไป ตอนหลังที่คุณหนูเข้าเมืองมาพร้อมกับนายท่านใหญ่ นายท่านเว่ยหลานยังให้นางติดตามมาดูแลคุณหนู เพราะห่วงว่าคุณหนูจะได้รับความลำบาก แม้นางจะไม่ได้อยู่ในสายตาตั้งแต่ที่มีเจียวเจียวเข้ามา แต่นางก็เฝ้ามองคุณหนูมาโดยตลอด นางย่อมรู้ดีกว่าผู้ใดว่าคุณหนูนั้นเคยสดใสเช่นไร
นางเฝ้าหวังมาโดยตลอดว่าคุณหนูจะกลับมาสดใสและกล้าเผชิญดั่งเช่นก่อนหน้า และหวังเป็นที่สุดว่าจะได้พบกับคุณหนูในตอนที่ยังอยู่จวนนายท่านเว่ยหลาน ซึ่งทั้งใจดี และเมตตาต่อสาวใช้
ในวันนี้...นางคิดได้หรือไม่ว่าสิ่งที่หวังกำลังจะเป็นจริง
“เสี่ยวซู่ ข้าโตเกินกว่าจะสดใสร่าเริงแล้ว” เยว่เฟิงหนิงเอ่ยก่อนจะถอนใจเบา ๆ นางที่สดใสร่าเริงหรือ นั่นเป็นนางในตอนแรกหลังจากฟื้นขึ้นมาโดยไร้ความทรงจำเท่านั้น นางในตอนนี้อายุมิใช่น้อย ๆ แล้ว และในตอนที่จดจำตนเองได้เช่นนี้ นางมีหรือจะทำตัวเช่นเด็กสาวแรกรุ่นได้ เป่ยเยว่อ๋องนั้นนิ่งสงบดั่งเช่นสายลมที่พัดผ่านแผ่วเบาในยามปกติ ...นางย่อมเป็นดั่งคำกล่าวนั้น
นางมองสาวใช้ตรงหน้าอีกครั้ง เผลอหวนนึกถึงช่วงที่ได้พบกับอีกฝ่ายครั้งแรก ที่นางแทบจะลืมไปแล้วทั้งที่เป็นความทรงจำที่ดีกว่าตลอดหลายปีมานี้ นางยังคงจดจำช่วงเวลานั้นได้อยู่ และรู้ว่าภาพจำของอีกฝ่ายนั้นนางเป็นเช่นไร เยว่เฟิงหนิงสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ข้าสัญญา ว่าข้าจะเป็นเหมือนตอนที่อยู่กับท่านอาเว่ยหลานให้ได้มากที่สุด และจะทำตัวให้ดี ทำในสิ่งที่มารดาและภรรยาผู้หนึ่งควรทำ เจ้าจะคอยอยู่ข้าง ๆ ช่วยเหลือข้าได้หรือไม่”
“ฮึก เจ้าค่ะ บ่าวจะช่วยฮูหยิน สุดความสามารถของบ่าวเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นตอนนี้ก็พูดมาว่าสถานการณ์นอกเรือนเป็นเช่นไร”
“เรื่องภายนอกบ่าวก็ไม่รู้นักเจ้าค่ะ แต่เรื่องในจวน หลายปีมานี้...” เสี่ยวซู่เริ่มเล่าหลังจากที่เช็ดน้ำตาของตนออกจากใบหน้า เรื่องนอกจวนแม้จะพูดว่านางไม่รู้มากนัก แต่ก็รู้เรื่องสำคัญอยู่บ้าง แต่นั่นนางยังไม่พูดด้วยว่าในจวนมีเรื่องที่นายสาวจำเป็นต้องรู้อยู่มาก
เป็นที่รู้กันว่าฮูหยินของจวนเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน มิได้สนใจใยดีสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องในจวน หรือแม้แต่บุตรชายหญิง ดังนั้นหน้าที่ที่ฮูหยินควรทำจึงจำต้องมีคนรับหน้าที่ดูแลแทนมาโดยตลอด และผู้ที่ดูแลทุกอย่างในยามนี้ก็คือฟ่านชิงลี่ น้องสาวของฟ่านฉี รองแม่ทัพแห่งค่ายอินทรีเพลิง
สองพี่น้องสกุลฟ่านนี้ติดตามนายท่านของจวนร่วมออกรบกับกองทัพอย่างกล้าหาญ ต่อมามีการแต่งตั้งเฉินอวิ๋นหยางเป็นแม่ทัพน้อยเฉิน สองพี่น้องจึงได้กลายเป็นรองแม่ทัพคนสนิท เป็นดุจแขนซ้ายและแขนขวาของแม่ทัพน้อย ทว่าหลังจากที่คุณชายและคุณหนูคลอดและถูกละเลย รองแม่ทัพหญิงฟ่านที่สงสารเด็กน้อยจนทนไม่ไหวก็อาสาคอยดูแลทั้งสองคน ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉินเห็นว่ารองแม่ทัพหญิงฟ่านมีความสามารถ ซ้ำเรื่องในจวนแม่ทัพน้อยก็ไร้คนดูแล จึงฝากฝังให้รองแม่ทัพหญิงฟ่านดูแลจนกว่าฮูหยินจะขอดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง เรื่องในจวนจึงตกอยู่ในความดูแลของนางตั้งแต่นั้นมา
ตลอดเวลาหลายปีท่านรองแม่ทัพหญิงฟ่านก็ดูแลคุณหนูและคุณชายได้ดี ซ้ำเรื่องในจวนก็จัดการได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอันใดให้ตำหนิได้
สาวใช้บางคนยังเคยเอ่ยว่าหากได้ท่านรองแม่ทัพหญิงฟ่านมาเป็นฮูหยิน จวนนี้คงจะต้องสงบสุขและไม่ขายหน้าผู้ใดเป็นแน่
ซ้ำยังมีสาวใช้บางคนเอ่ยว่า แท้จริงแล้วฟ่านชิงลี่ผู้นี้เป็นคนรักของท่านแม่ทัพน้อย ที่ยังไม่อาจเปิดเผยเพราะเดิมที่ท่านแม่ทัพมีคู่หมั้นแต่วัยเยาว์อยู่แล้ว เดิมคิดจะถอนหมั้นก่อนจึงตบแต่ง แต่เกิดเรื่องเสียก่อน จึงไม่อาจทำอันใดที่ไม่เห็นแก่หน้ารองเสนาบดีเว่ยได้ หลายปีมานี้จึงยังไม่ได้ตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราว...แต่ในยามนี้ก็ไม่ได้ต่างอันใดกับเป็นฮูหยินของจวนไม่
เยว่เฟิงหนิงฟังคำบอกเล่าของเสี่ยวซู่ด้วยท่าทีเงียบสงบ นางนึกย้อนถึงเรื่องราวของรองแม่ทัพหญิงผู้นี้ในชีวิตก่อนไปพลางเคาะนิ้วเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้าไปพลาง
ฟ่านชิงลี่ มิใช่นางจิ้งจอกสองหน้าอันใด นางมิได้ทำดีเพียงต่อหน้าประมุขของจวน แต่นางยังทำดีลับหลังด้วย หากเป็นสตรีร้ายกาจการได้รับหน้าที่ดูแลจวนคงคล้ายติดปีกให้ มิแคล้วคงกลั่นแกล้งหักเงิน หรือเสบียงอาหารในเรือนเฟิงอวิ๋นของนางเป็นแน่ แต่ฟ่านชิงลี่ในตอนนี้และในอนาคตมิได้ทำเช่นนั้น
อาหารการกิน เสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมไปถึงเบี้ยหวัดของนางล้วนเรียกได้ว่าดีเยี่ยม เหล่าสาวใช้ในเรือนก็ไม่เคยถูกยักยอกเบี้ยหวัด ได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกับสาวใช้และคนงานทุกคนในจวน
การปฏิบัติกับหลิงเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ก็เรียกได้ว่าดีถึงที่สุด และในอนาคตก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่อนิจจาจนแล้วจนรอดเฉินอวิ๋นหยางก็ไม่ได้แต่งนางเป็นภรรยา เขามอบให้นางเป็นเพียงน้องสาวบุญธรรมและหาขุนนางหนุ่มตระกูลดีให้แต่งออกไปหลังจากที่นางเริ่มออกจากเรือนและแสดงออกว่าไม่พอใจที่มีสตรีอื่นดูแลจวน ช่างน่าละอาย แต่สาเหตุที่ฟ่านชิงลี่ได้แต่งออกไปก็เป็นเพราะนางที่ทำตามที่กู้จื่อเฉียนหลอกล่อให้ทำ
นาง...คล้ายจะขัดขวางวาสนาผู้อื่นไปในยามนั้น
อีกทั้ง...
สุดท้ายเพื่อช่วยเฉินอวิ๋นหยาง ฟ่านชิงลี่ถึงกับแตกหักกับสามีที่เบื้องหน้าแสนดีเพรียบพร้อม แต่เบื้องหลังเป็นคนของกู้จื่อเฉียน นางสู้จนตัวตาย เพื่อช่วยเฉินอวิ๋นหยางที่อยู่ในคุก และต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของสามี
ฟ่านชิงลี่ผู้นี้ ชะตาไม่ได้ต่างจากนางนัก ซ้ำยังน่าเห็นใจกว่ามาก ตรงที่มีใจให้เฉินอวิ๋นหยาง แต่ต้องแต่งให้อีกคน และสุดท้ายก็ต้องตายด้วยฝีมือของคนคนนั้น
แต่...ชาตินี้นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น นางต้องไถ่โทษให้กับสตรีที่ดูแลบุตรสาวและบุตรชายของนางมาอย่างดีผู้นี้อย่างแน่นอน
หากเฉินอวิ๋นหยางและฟ่านชิงลี่มีใจต่อกัน นางจะหลีกทางให้ แต่หากไม่ นางจะไม่ยอมให้ฟ่านชิงลี่แต่งกับบุรุษคนเดิม
จุดจบเช่นนั้น จะไม่มีวันเกิดขึ้น
