บทที่1 แตกสลาย
นางปักใจรักมั่นในตัวเขามานานห้าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขากลับไม่เคยไยดีนางเลยสักครั้ง หนี่โหยวเหยาคิดด้วยความน้อยใจในชะตารักของตนเอง
คำมั่นสัญญาในอดีต บัดนี้มีเพียงตัวนางที่ยึดมั่นถือมั่นจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
กู้หมิงเหยียนคือรักแรกและรักเดียวของนาง แต่บัดนี้ นางกลับเป็นได้เพียงอุปสรรคในชีวิตที่เขาไม่ต้องการก็เท่านั้น
เหตุเพราะนางยังคงดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา และเขาก็ไม่อาจปฏิเสธหรือยกเลิกสัญญาหมั้นหมายเดิมที่มีต่อนางได้ สุดท้ายแล้ว เขาจึงเอาคืนนางด้วยการแต่งคนรักของเขามาเป็นฮูหยินรองพร้อมรับอนุเข้าจวนอีกสามนางในคราเดียว ดูแล้ว ช่างเป็นการเอาคืนนางได้อย่างเจ็บแสบโดยแท้
สามเดือนผ่านไปที่จวนแม่ทัพสกุลกู้ เจียงหลีผู้เป็นฮูหยินรองก็ตั้งครรภ์ แต่ช่างน่าเสียดาย ที่นางได้เสียลูกไปเมื่ออายุครรภ์ยังไม่ถึงสามเดือน โดยสาเหตุมาจากการที่นางพลัดตกสระน้ำ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นภายในเรือนของนางที่เป็นฮูหยินเอก
เช่นนั้นแล้ว ทุกคนจึงต่างกล่าวโทษว่านางคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุในครั้งนั้น
“ท่านพี่ บัดนี้ ข้าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ข้ามาบอกข่าวดีนี้แก่ท่าน เพื่อให้ท่านช่วยอวยพรให้ข้าและลูกน้อยในครรภ์” เจียงหลีเอ่ยกับหนี่โหยวเหยาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนหวาน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มยินดี
“อวยพรหรือ? เมื่อยามที่อยู่ต่อหน้าข้าเพียงลำพัง เจ้าไม่ต้องเสแสร้งถึงเพียงนั้น ข้าไม่อาจกล่าวคำยินดีนี้แก่เจ้า เพราะจิตใจข้าไม่ได้มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย” หนี่โหยวเหยาเอ่ยด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย แม้ว่าภายในใจจะแตกสลายไปแล้วก็ตาม
เขาไม่รักนาง ซ้ำยังแต่งคนรักอย่างเจียงหลีมาเป็นฮูหยินรอง อีกทั้งตอนนี้ ทั้งสองกำลังจะมีลูกด้วยกัน ดูแล้วช่างเป็นคู่รักที่น่าอิจฉายิ่งนัก ในขณะที่นางผู้เป็นภรรยาเอก เขากลับไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนของนางเลยสักครั้ง
นี่คงเป็นผลจากการกระทำที่แสนดื้อรั้นของนาง ที่นางอยากจะแต่งงานกับเขา
เมื่อกล่าวจบ หนี่โหยวเหยาก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงเจียงหลีอยู่ด้านหลัง แต่คิดไม่ถึง ว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจกระโดดลงไปในสระน้ำที่หนาวเหน็บภายในเรือนของนางด้วยตนเองเช่นนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนของนาง แม้นางจะกล่าวว่าตนไม่ได้กระทำ แต่ใครเล่าจะเชื่อในคำพูดนั้น เพราะเมื่อยามที่เกิดเหตุ มีเพียงพวกนางสองคนที่อยู่ด้วยกัน
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เจียงหลีต้องแท้งลูกไป ลูกที่ไม่แน่ว่าอาจไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่กู้หมิงเหยียนก็ได้ลงโทษนาง ด้วยการขับไล่ให้ไปอยู่สำนักชีบนเขา เพื่อปฏิบัติธรรมและสำนึกผิดในบาปที่นางไม่ได้ก่อ
ห้าปีที่แล้ว...
“หนี่โหยวเหยา เจ้าต้องรอข้า ห้ามแต่งกับผู้ใดก่อน เมื่อข้ากลับมา ข้าย่อมแต่งเจ้าเป็นฮูหยินของข้าอย่างแน่นอน” นั่นคือคำพูดของเขาเมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นคำพูดของเขา ที่เกรงว่าจะมีเพียงนางที่จดจำได้
ห้าปีต่อมา...
“หนี่โหยวเหยา เจ้าเป็นถึงฮูหยินของจวนแม่ทัพ แต่กลับมีจิตใจคับแคบและต่ำช้า จงไปอยู่ที่สำนักชี และสำนึกผิดอยู่ที่นั่น ไม่มีคำสั่งจากข้า อย่าได้ก้าวขาออกมาเป็นอันขาด” และนั่นก็คือถ้อยคำจากปากเขาเช่นกัน ที่เขาได้ประกาศโทษนางต่อบ่าวไพร่ทั้งหลายในเรือน ในสิ่งที่นางไม่ได้กระทำ แต่จนใจ ใครเล่าจะเชื่อในถ้อยคำที่ไร้ค่าของนาง
ในอดีต เขาเคยรับปากว่าจะแต่งงานกับนาง เพียงแค่อดีตก็คืออดีต ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางถึงไม่อาจปล่อยวางได้เสียที
สามปีผ่านไป เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นเช่นไร ป่านนี้ เขาคงมีความสุขกับคนที่รักจนลืมนางไปแล้ว ช่วงเวลานั้น นางรู้สึกเจ็บแค้นและสิ้นหวังในใจ นางไม่มีครอบครัวให้กลับไป ไม่มีใครให้พึ่งพิง ชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้อีกต่อไปแล้ว
หนี่โหยวเหยา ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักแม่ชีด้วยความยากลำบาก แต่นางก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใด แต่กระนั้น ก็ไม่นับรวมถึงการที่นางเฝ้าภาวนาและสวดมนต์อ้อนวอนให้เขาได้รู้ความจริง และมารับนางกลับไปเสียที
นางยังเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเขาย่อมต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้นกับนาง ในอดีต เขาทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างกายนางมาโดยตลอด การที่เขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่ใครเล่า จะยึดมั่นในความเชื่อของตนเองได้เนิ่นนานถึงเพียงนั้น จากที่นางเชื่อว่าเขาคงจะมีเหตุผล แต่เมื่อเขาไม่เคยมาหานางเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาถามไถ่ ความหวังที่มีของนางก็เริ่มเลือนหายไป
บางที เขาอาจจะมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้จริง เพียงแต่เหตุผลของเขาอาจจะไม่ได้ตรงกับที่นางได้คาดคิดเอาไว้ เพราะเหตุผลนั้นก็คือ เขาก็แค่ไม่รักนางแล้วนั่นเอง
ไม่รักก็คือไม่รัก และนี่ก็คือเหตุผลที่ชัดเจนมากเพียงพอแล้ว นางยังจะเพ้อฝันหาความจริงอื่นใดที่ซ่อนอยู่อีกกัน หรือต้องเจ็บจนตายไปเสีย จิตใจที่โง่งมของนางจึงจะทำใจยอมรับได้เสียที ว่าบัดนี้ใจของเขาไม่ได้มีนางอยู่อีกต่อไปแล้ว
ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อนางได้ยินข่าวว่า เขาได้นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ นางก็เฝ้าหวังว่าเขาอาจจะมารับนางออกไปจากที่แห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงความหวังที่แสนริบหรี่ก็ตามที แต่สุดท้าย เขาก็ไม่มา และนางก็ไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป
ที่นี่คือสำนักชีไป๋เหลียนที่ตั้งอยู่บนเขาเซวียนอู๋หลิง เป็นที่ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายเลยแม้แต่น้อย ผู้คนที่อยู่ที่นี่ ล้วนถูกส่งมาเพื่อรับการลงโทษด้วยกันทั้งนั้น แม้จะกล่าวว่าให้มาปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากคุกที่มีไว้กักขังผู้คนที่กระทำผิด หรือไม่เป็นที่รักและที่ต้องการก็เท่านั้น
สุดท้ายแล้ว การรอคอยที่แสนยาวนานก็เดินทางมาถึงที่สิ้นสุดเสียที
ในขณะที่ผู้คนในเมืองหลวงกำลังร่วมกันเฉลิมฉลองอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นในคืนข้ามปี แต่หนี่โหยวเหยากลับต้องนอนหนาวอยู่ในห้องพักด้วยพิษไข้ ร่างกายที่บอบบางและอ่อนล้า นอนกระสับกระส่ายไปมา แม้ว่าอากาศจะหนาวสักเพียงใด แต่ร่างกายของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
และกลางดึกในค่ำคืนนั้นเอง ที่สำนักชีก็ได้เกิดเหตุไฟลุกไหม้ โดยไม่ทราบสาเหตุ จากค่ำคืนที่เงียบสงัด มีเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่าน กลับพลันมีเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังระงม
บนเขาเซวียนอู๋หลิงที่ปกติในยามค่ำคืนจะมีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่ส่องแสง ค่ำคืนนี้ กลับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่ไม่อาจควบคุม เป็นเปลวไฟ ที่พรากลมหายใจของใครหลาย ๆ คน และหนึ่งในนั้นก็คือ หนี่โหยวเหยานั่นเอง
หนี่โหยวเหยานอนป่วยอยู่บนเตียง ที่มีเพียงผ้าห่มผืนบาง แม้อากาศจะเหน็บหนาวสักเพียงใด นางก็ไม่อาจร้องขอสิ่งใดไปได้มากกว่านี้
นางลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับเปลวไฟที่ลุกลามไปทั่ว กว่าที่นางจะพาร่างที่อ่อนแอของตนเองให้ลุกขึ้นได้ เปลวไปและเขม่าควันก็ได้ลอยคลุ้งไปทั่วแล้ว
นางกวาดสายตามองไปโดยรอบ แค่เพียงไม่นานก็สามารถเข้าใจถึงจุดจบของตนเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพยายามหาทางหนีให้เปลืองเรี่ยวแรง
นางก็รู้ดีว่า ช่วงสุดท้ายในชีวิตของนางคงได้เวียนมาถึงแล้ว
“กู้หมิงเหยียน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จิตใจที่ไม่รักดีของข้าไม่อาจปล่อยวางจากท่านได้เสียที แต่เกรงว่านับจากนี้ แม้ในใจจะไม่ปรารถนา แต่ข้าก็จำต้องปล่อยวางจากท่านแล้ว” นางกล่าวก่อนที่เปลวไฟจะพวยพุ่งเข้ามาในเรือนนอนของนาง พร้อมกับคานไม้ด้านบนที่หล่นลงมา
ริมฝีเรียวบาง ที่ดูซีดเซียว บัดนี้กลับมีเพียงสีแดงฉานของเลือกที่กระอักออกมา ดวงตาของนางปิดลงอย่างช้า ๆ โดยไร้เสียงร้องไห้ใด สุดท้ายแล้ว ลมหายใจของนางก็หมดลงที่สำนักชีแห่งนั้น อย่างอ้างว้างและเดียวดาย
หนี่โหยวเหยา จะอย่างไรชีวิตนี้ของเจ้าก็ไม่มีความสุขใดให้น่าจดจำ เช่นนั้นแล้ว แม้ต้องตายก็ไม่นับว่าให้มีสิ่งใดที่ต้องอาลัย ไม่แน่ว่า เบื้องหน้าอาจจะมีสิ่งที่ดีกว่านี้รอเจ้าอยู่ก็เป็นได้ ดวงจิตที่ปวดร้าวปลอบประโลมจิตใจของตนเองในความมืดมิด
