5: แค่คนเคยชอบ [2]
“ชักช้า” คำแรกที่พบหน้าบนโต๊ะอาหาร หวังเหล่ยก็พ่นคำพูดที่ไม่รักษาน้ำใจ ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง หยิบตะเกียบคีบอาหารด้วยอาการฟึดฟัดไม่พอใจ เขาหรือก็รอกินข้าวตั้งนาน ส่งสาวใช้ให้ไปคอยดูแลก็แล้ว กระนั้นก็ยังทำตัวอ้อยอิ่งชักช้าราวกับไม่ให้ความสำคัญต่อกัน
“ขออภัยเจ้าค่ะ หากหิวเหตุใดไม่กินก่อน จะรอข้าทำไมเจ้าคะ”
“อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญ ที่นี่ข้าเป็นใหญ่ที่สุดทุกอย่างต้องทำตามกฎที่ข้าตั้งไว้เท่านั้น นับจากนี้ทุกวันเจ้าต้องมาให้ตรงเวลา เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อันหนิงตอบรับแต่โดยดี หากเป็นเมื่อก่อนนางคงวางตะเกียบแล้วเดินกระทืบเท้าหนีไปแล้ว ทว่าครั้งนี้นางกลับไม่มีความโกรธเคืองต่อคำพูดของสามีเลยสักนิด เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริงทั้งนั้น
บทสนทนาระหว่างสามีภรรยาจบลงเพียงเท่านั้น ต่างคนก็ต่างกินไม่ได้สนใจกันและกันเหมือนดังเช่นเคยทำต่อกันอย่างที่ผ่านมา อันหนิงค่อย ๆ ละเลียดชิมไปทีละอย่างไม่เร่งรีบ ผิดกับอีกฝ่ายราวกับไปกินรังแตนที่ไหนมากันนะ ถึงได้ฉุนเฉียวอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า
“นายท่านเหล่ยข้าขอกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมได้หรือไม่” จวนตระกูลหลี่อยู่ไม่ไกลกันนัก ตระกูลหวังตั้งอยู่ในย่านการค้า ส่วนตระกูลหลี่อยู่ท้ายตลาดไปอีกสองตรอก เดิมทีไม่ต้องขออนุญาตสามีก็ได้ทว่าหากคิดจะทำตัวเสียใหม่ ควรเริ่มจากการไปไหนมาไหนบอกกล่าวเจ้าของจวนไว้ เจ้าทำดีมากอันหนิง นี่สิถึงจะสมกับที่เจ้าคิดจะกลับตัว
“ไม่ได้ เอาไว้ข้าว่างเมื่อใดข้าจะเป็นคนพาไปเอง” ชายหนุ่มตอบปฏิเสธแทบจะทันที แม้เช้านี้อันหนิงจะดูแปลกไปมากก็ตาม แต่การที่นางไม่เหมือนทุกวันมันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวจะต้องวางแผนอะไรไว้สักอย่างเป็นแน่ ไม่อาจจะไว้วางใจได้ในทันที โดยเฉพาะการแอบนัดพบกับโจวเชินชู้รักของนาง ให้อยู่ในสายตาจะดีกว่าปล่อยให้ออกไปไหนมาไหนคนเดียว
“บ้านเดิมข้าอยู่แค่นี้เอง ข้าขอไปไม่นาน หนึ่งชั่วยาม ข้าให้สัญญาข้าจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ” ร่างบางวางตะเกียบลงทันที หวังเหล่ยไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แค่ขอกลับบ้านก็มิได้หรือไร
“ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาตอย่าให้ข้าต้องพูดมากความ ทำไมคิดถึงมันมากนักหรือถึงกับต้องหาวิธีออกไปให้ได้น่ะ” ชายหนุ่มกำตะเกียบแน่นวางถ้วยข้าวลงทันที คิดว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วแต่อีกฝ่ายก็เอาแต่คอยจ้องจะหาทางไปเสียให้ได้
“ไม่รู้หรอกว่าท่านพูดถึงใคร ข้าเพียงแค่อยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่บ้าง ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านกล่าวหาเลยสักนิด” อันหนิงเริ่มทำหน้ามุ่ย ให้รอจนกว่าเขาจะว่างหรือ แล้วเมื่อไรจะว่างเล่า เห็นเอาแต่ทำงานไม่เคยว่างเลยสักวัน
“ฮึ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับโจวเชินนัดพบกันกี่ครั้ง หรือพวกเจ้าไปที่ไหนบ้างข้าก็รู้หมด ถ้ารักกันมากเหตุใดไม่อยู่กับมันให้จบ ๆ มาทำเช่นนี้กับข้าทำไม” สุดจะทนกับพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างของอันหนิง ชายหนุ่มตบโต๊ะเต็มแรงพานทำให้ถ้วยจานอาหารกระจัดกระจายคว่ำเต็มโต๊ะ ที่ผ่านมาไม่พูดเพราะอันเล่อขอไว้ ทว่าครั้งนี้ถึงขั้นออกตัวขอด้วยตนเองมันเกินไปหรือไม่
“ถ้าย้อนเวลาไปตอนนั้นได้ข้าจะไม่ทำ ไม่ให้ไปก็ไม่ไปสิ ไม่เห็นต้องโมโหน่ากลัวเช่นนี้เลย” เมื่อครู่นางคิดว่าหวังเหล่ยจะลุกขึ้นมาตะบันหน้าตนเองเสียแล้ว ยังดีที่เขาเอาอารมณ์ไปลงกับโต๊ะ ไม่เช่นนั้นได้แหลกคามือแน่ กระนั้นนางก็อยากจะบอกให้เข้าใจเสียใหม่ เรื่องความสัมพันธ์กับเจ้าสารเลวนั่นน่ะ ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน “แล้วอีกอย่างข้าไม่เคยรักโจวเชิน เขาก็แค่คนที่ข้าเคยชอบแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว ถ้าเจอหน้าข้าก็จะฆ่ามันให้ตาย”
ร่างบางสะบัดหน้าหนีพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหารที่พังไม่เป็นท่า ก้าวฉับ ๆ กลับเรือนนอนไปทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม คอยดูเถิดไม่ให้กลับนางก็จะแอบกลับเอง ให้อยู่แต่ในจวนแล้วเมื่อไรจะได้ปรับความเข้าใจกับครอบครัวเล่า
หวังเหล่ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อครู่เขาหูฝาดไปหรือไม่ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะหลายต่อหลายครั้งเพื่อตั้งสติ เป็นไปไม่ได้ อันหนิงต้องหลอกล่อให้ตายใจเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรเสียนางก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกนางมองเป็นคนโง่พร้อมสวมเขาให้ตลอดเวลา
