บทที่ 2 ข้าจะฝืนลิขิตสวรรค์ (2/2)
ชายวัยกลางคนนั่งจิบน้ำชาสีหน้าคล้ายยิ้มแต่มิยิ้มอยู่ ณ จวนสกุลสือ ที่เขาเดินทางมาในวันนี้เพียงเพื่อต้องการพบหน้าคุณหนูใหญ่ของสือจินรุ่ย ซึ่งตนหมายทำการรับนางเข้าไปเป็นอนุคนที่สี่ของจวน ใครก็ว่าบุตรสาวคนโตของสกุลสือหน้าตางดงามสะสวย ทว่ากลับมิเคยมีผู้ใดเอ่ยถึงคุณหนูรองเลยสักครา วันนี้เขาอยากเห็นกับตานักว่าจะงดงามสมคำร่ำลือหรือไม่
"บุตรสาวของท่านเล่า ใต้เท้าสือ" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกถ้วยชาขึ้นพลางเป่าลมเย็นลงไปก่อนจิบราวไม่อนาทรร้อนใจ
เขารู้สึกอารมณ์สุนทรีย์นักที่ตนจะได้รับอนุรุ่นลูกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจวน นานมากแล้วที่ไม่ได้ลิ้มลองสตรีหน้าใหม่ ๆ แม้มีอนุมากมายทว่าเขารู้สึกเบื่อหน่ายบรรดาสตรีเหล่านั้นเสียแล้ว
"ใต้เท้า ใจเย็น ๆ สิขอรับ ตอนนี้นางกำลังเตรียมตัวต้อนรับท่าน คงตื่นเต้นเลยช้าเพียงนี้" สือจินรุ่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาปรายตามองฮูหยินของตน พลางเอ่ยเสียงเบาลอดไรฟัน "เมื่อใดนางจะโผล่หัวมา"
สือเสี่ยวเย่ค้อนควัก "มันน่านัก เดี๋ยวข้าส่งคนไปตามเองเจ้าค่ะ"
"รีบไป!"
สือเสี่ยวเย่กวักมือเรียกสาวรับใช้นางหนึ่ง พลางกระซิบกระซาบเสียงแผ่ว อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเร่งจากไปด้วยความร้อนรน
"เอ่อ...ใต้เท้าเจ้าคะ อีกเดี๋ยวนางก็มาแล้ว ทางจวนของข้าได้จัดต้อนรับท่านอย่างดี เช่นนั้นดูระบำให้เพลินตาก่อนเถิดนะเจ้าคะ อย่าได้เร่งร้อน"
ลู่เยี่ยนฮ่าวช้อนดวงตาขึ้น "หืม...มิใช่ว่า พวกท่านไม่ยินยอมส่งลูกสาวคนงามให้ข้าหรอกนะ"
สือเสี่ยวเย่ถึงกับสะดุ้งตัวโยน วันนี้นางให้สืออี้หนานเก็บตัวอยู่เพียงในห้อง หนังสือสัญญาแจ้งว่าหากไม่มีเงินชดใช้หนี้สิน จะทำการส่งคุณหนูใหญ่ของสกุลสือเพื่อเป็นอนุแก่เขาเพื่อขัดดอก ครบกำหนดที่ต้องชำระหนี้ตามที่ตกลง ทว่าตระกูลสือกลับไม่มีปัญญาใช้คืน เช่นนั้นคงหลงเหลือเพียงวิธีเดียว คือการเปลี่ยนตัวสืออี้หนานและสือลี่ผิง
เดิมทีสือลี่ผิงเป็นที่ชิงชังของผู้เป็นบิดา ไหนเลยเขาจะปฏิเสธวิธีการต่ำช้าของฮูหยินตน แต่ก็มิได้เห็นชอบเลยทีเดียว เพราะหากเรื่องแดงขึ้นมาเกรงว่าคงได้เดือดร้อนกันเป็นแถวแน่
ยังไม่ทันมีผู้ใดเอ่ยแก้ต่าง ทว่าสตรีร่างบอบบางสวมอาภรณ์งดงามกลับเดินมุ่งหน้าเข้ามาเสียก่อน สือเสี่ยวเย่นิ่วหน้าประหลาดใจ
"เหตุใดนางจึงปกปิดใบหน้า" สือเสี่ยวเย่ผินหน้าเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทข้างกาย
"เอ่อ...คุณหนูบอกว่า นางมีการร่ายรำพิเศษเจ้าค่ะ"
สือเสี่ยวเย่เหลียวหน้ากลับไม่สบอารมณ์นัก สือลี่ผิงคงไม่คิดเล่นลูกไม้กับตนจริง ๆ ใช่หรือไม่
สือลี่ผิงยอบกายลง "ใต้เท้าลู่ ท่านพ่อ ท่านแม่"
เมื่อเห็นสตรีเรือนร่างอรชรเบื้องหน้า สายตาประดุจปีศาจราคะจึงเก็บไม่มิด เขามองแทะโลมสือลี่ผิงอย่างไร้มารยาทตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
"งดงามเพียงนี้ ไฉนจึงปกปิดใบหน้าของตนเล่า"
"ใต้เท้าช่างใจร้อนนัก ท่านเป็นแขกพิเศษของท่านพ่อและท่านแม่ ข้าจะละเลยได้อย่างไรเจ้าคะ" สือลี่ผิงเอ่ยนอบน้อม
สือจินรุ่ยหรี่นัยน์ตามองบุตรสาวด้วยความแคลงใจ สือลี่ผิงไม่เคยใจกล้าเช่นนี้มาก่อน บอกให้นางไปซ้ายก็ต้องซ้าย เหตุใดวันนี้จึงกล้ากระทำเกินคำสั่ง เขากระแอมหนหนึ่งพลางเหลียวมองสตรีข้างกาย สือเสี่ยวเย่ฉีกยิ้มแห้งขอด
"เอ่อ...เช่นนั้นก็ให้นางได้ร่ายรำต้อนรับท่านเถิด" เสียงแหลมเอ่ยด้วยความประหม่า
ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบกลับ นัยน์ตายังคงกวาดมองเรือนร่างหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาหยาบโลน
มุมปากใต้ผ้าแพรผืนบางพลันยกโค้ง สือลี่ผิงร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ใต้เท้าลู่ทอดสายตาหวานเยิ้ม ใจของเขาเต้นระรัวแทบอยากเห็นใบหน้าอันงดงามที่ผู้คนต่างร่ำลือใจแทบขาด ทว่านางร่ายรำโฉบใกล้เขาครั้งแล้วครั้งเล่าก็มิอาจปลดผ้าลงได้ จู่ ๆ กระดาษม้วนหนึ่งพลันร่วงลงบนตักของเขาโดยที่ไม่ทันมีผู้ใดเห็น ฝ่ามือหยาบระคายจึงคลี่ออกชมแล้วจึงระบายรอยยิ้มพึงใจ
ทางด้านสองสามีภรรยากลับไม่รู้เลยว่าสิ่งใดกันที่อยู่ในมือของแขกไม่อยากรับเชิญ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันหลุกหลิก ทันทีที่บทเพลงสิ้นสุด สือลี่ผิงจึงปลดผ้าแพรลงเดี๋ยวนั้น
ใบหน้าของนางประจักต่อสายตาของทุกคน ลู่เยี่ยนฮ่าวถึงกับหุบริมฝีปากลงฉับ ทั้งห้องโถงผงะไปตาม ๆ กัน
"พวกท่านกล้าย้อมแมวให้ข้ารึ!" ลู่เยี่ยนฮ่าวตะเบ็งเสียงอย่างกราดเกรี้ยว เสียงตบโต๊ะดังปัง สั่นคลอนไปแทบทั้งจวน
