EP 6 คาดโทษ
ออกจากมหาลัยปุ๊บ ฉันก็ถูกพามาร้านขายชุดนักศึกษาเป็นที่แรก ตามที่นายขุนพลลั่นวาจาเอาไว้ก่อนหน้า กระโปรงทุกตัวที่หมอนี่ซื้อให้ยาวเท่าหัวเข่าหมดทุกตัวเลย พอฉันหยิบตัวไหนมาทาบแล้วลองหมุนตัวดูกับกระจก หมอนี่ก็กระชากออกจากมือไปหน้าตาเฉย พี่เจ้าของร้านก็ได้แต่ยืนยิ้มแหย ๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก มันทำให้ฉันค่อนข้างเซ็งที่โดนขัดใจ ไม่ใช่ว่าอยากจะใส่สั้นโชว์ขาอย่างที่โดนนายขุนมันค่อนขอดหรอกแต่เข้าใจไหมว่าความสูงฉันมันไม่ได้มาตราฐาน ยาวไปมันพาลจะทำให้ดูเตี้ยเข้าไปใหญ่คนสูงอย่างหมอนี่ไม่เข้าใจ แต่ก็ช่างสิในเมื่อตัวเก่ายังมีอยู่ในตู้เสื้อผ้านี่นา เออ แล้วทำไมฉันจะต้องซีเรียสด้วยเนี่ย สงสัยจะมัวแต่อินเรื่องโดนขัดใจมากไปหน่อยเลยหลง ๆ ลืม ๆ พอนึกได้แบบนี้ค่อยทำให้ยิ้มออกมาได้หน่อยนึง
“ยิ้มคนเดียวแล้วยังทำหน้าโรคจิตอีก คิดจะทำอะไรของเธอวะหมูบอกมาซะดี ๆ” ฉันหุบยิ้มลงทันทีเลยคนอารมณ์ดีแล้วแท้ๆยังจะมาหาเรื่องให้โมโหอีก
“คนที่โรคจิตน่ะมันคือนายต่างหากไอ้บ้าขุน ไม่ใช่ฉันย่ะ” ขึงตาใส่แล้วรีบก้าวขายาว ๆ หนี แต่ก็หนีได้มากสุดแค่สองถึงสามก้าวเท่านั้นแหละ คนขายาวกว่าก็ตามทันแถมยังเอาแขนมาพาดคอเอาไว้อีก ไม่จับมือก็โอบเอวและนี่พาดคอ
“คนเยอะจะเดินเร็วทำไมเดี๋ยวก็หลงหรอก” มีแต่นักศึกษาด้วยกันทั้งนั้นแถมตลาดนัดหลังมหาลัยเธอก็มาเดินบ่อยมาก เว่อร์วังอลังการดาวล้านดวงตลอดอ่ะ แล้วใครมันจะโง่เดินแยกกันล่ะ เพราะกระเป๋าสะพายอยู่ที่เขารวมถึงโทรศัพท์ด้วย มาถึงก็โดนนายขุนแย่งเอาไปสะพายเองอีกตามเคย แต่ก็ดีไม่เมื่อยไหล่ดี
“ไม่หลงหรอกน่ามาออกจะบ่อย”
“ถ้าเกิดหลงกันขึ้นมาฉันจะตีก้นเธอแน่ถ้าตามจนเจอน่ะคอยดู” ขุนพลขยี้ผมฉันแล้วทำหน้ามันเขี้ยว
ฉันจิ๊ปาก แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรออกมาเดินมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ถูกใจร้านไหนก็แวะดูแวะซื้อ คนจ่ายเงินให้ก็จ่ายอย่างเดียวเลยไม่มีบ่นสักคำเดียว พอบอกให้เอาเงินฉันเขาก็บอกอย่าขัดฉันเลยเลิกเซ้าซี้ไปโดยปริยาย
ตลาดนัดอินดี้ที่พวกนักศึกษาเรียกกันเองแห่งนี้ เน้นพวกของแฟชั่นทั้งหลาย จำพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับแบบเก๋ ๆ เป็นหลักใหญ่ ของกินก็มีนะ พ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของส่วนใหญ่ก็ยังเป็นวัยรุ่น และใช่ว่าเรียนมหาวิทยาลัยแพง เดินแต่ห้างหรู ซื้อของแบรนด์เนมแล้วที่นี่จะไม่มีคนมาเดินนะจ๊ะ ตรงกันข้ามคนเยอะตลอดอ่ะ ยิ่งเย็นยิ่งเยอะ เพราะมันไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ไง ที่นี่ไม่ได้มีทุกวันนะมีเฉพาะทุกเย็นวันจันทร์ พุธ ศุกร์สามวันต่อหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง แล้ววันนี้คนที่อยากจะมาก็คือฉันเองแหละ
“ร้อนว่ะ” ขุนบ่น ซึ่งฉันก็เห็นด้วย
“อยากกินนมสดปั่นอ่ะขุน” ข้างหน้ามีร้านที่กินประจำเวลามาเดินฉันเลยบอกคนข้างกายก่อนล่วงหน้า อากาศมันร้อนเลยกระหายอะไรเย็น ๆ ได้ชื่นใจนิดหน่อยก็ยังดี คนข้าง ๆ เองก็เริ่มมีเหงื่อซึมตามขมับและไรผมแล้วด้วยสิ
“แต่ฉันอยากกินนมเธออ่ะทำยังไงดี” ฉันนี่แหงนคอขึ้นมองหน้าไอ้คนพูดจนไม่กลัวว่ามันจะหักหรือเคล็ดเลย คนเดินสวนผ่านไปมาเยอะแยะไม่รู้จะมีใครได้ยินบ้าง
“อย่ามาพูดจาทะลึ่งในที่สาธารณะนะไอ้บ้าขุน ความอายน่ะมีบ้างเหอะขอร้องล่ะ” ฉันกระซิบเสียงเข้มและหยิกสีข้างหนาพร้อมบิดแรง ๆ ด้วยอย่างโมโห
“พูดเรื่องจริงจะมาหยิกทำไมวะเนี่ยยัยหมูปีศาจ สักวันเถอะจะจับตัดเล็บให้สั้นกุดทุกนิ้วเลยคอยดูชอบหยิกนัก” ยังมีหน้ามาบ่นและทำหน้าบึ้งใส่ฉันอีก ความสำนึกไม่มีเลยผู้ชายคนนี้ แล้วฉันก็เลิกสนใจเมื่อเราเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านน้ำปั่น
“เอานมสดปั่นหนึ่งแก้วค่ะพี่” ฉันสั่งอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีคนมาชิงตัดหน้า “เอาอะไรไหมขุน” และฉันก็ไม่ลืมที่จะถามนายขุนเผื่อเขาอยากกินอะไรดับร้อน
“อยากเอาเธอได้ไหมล่ะหมู” คนตัวสูงก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน หน้าร้อนฉ่าหนักกว่าเดิมเลยฉัน
“ไอ้บ้าขุน!” ฉันไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้ว เลยได้แต่มองค้อนอย่างกระฟัดกระเฟียด ส่วนคนพูดน่ะเหรอ หึ! ยืนยิ้มร่าหน้าบานเมื่อกวนโมโหฉันได้ยังไงล่ะ
“หมูโมโหน่ารักจัง ฮ่า ๆ” ยังมีหน้ามาหยิกแก้มฉันเล่นอีก
“นี่!” ฉันแหวแต่ก็ไม่ได้เสียงดังอะไรนักหรอก อย่างน้อยยางอายก็มีมากกว่านายขุนแน่นอน
“นมสดปั่นได้แล้วจ้าน้อง” เสียงพี่คนขายดังขัดจังหวะความคิดฉันพอดี ฉันเลยรับแก้วนมปั่นมาดูดดับความร้อนและโมโหไปพร้อม ๆ กันทีเดียวเลย พอนายขุนกำลังหยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายเงินเท่านั้นแหละ ฉันก็อาศัยจังหวะนี้เดินลิ่วเลยไม่รงไม่รอมันแล้ว
“โอ๊ะ”
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบพูดขอโทษทันทีเมื่อเดินชนใครเข้าก็ไม่รู้ แต่นางหน้าเหวี่ยงมากเลยจ้า ชนไหล่มันก็ไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่เลยนะทำไมถึงได้มีท่าทางเหมือนฉันไปเหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษงั้นล่ะ คนสมัยนี้มันอะไรกันเนี่ย
“มีตาก็หัดมองทางซะบ้างสิไม่ใช่สักแต่ว่าจะเดินมันอย่างเดียว” นั่นไงล่ะโดนมาหนึ่งดอกจนได้ น้ำเสียงนี่ชวนทะเลาะสุด ๆ อ่ะ ทั้งห้วนทั้งหาเรื่องเลย
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วมองคนตรงหน้าที่แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกัน ก่อนจะฉีกยิ้มแบบแกน ๆ ให้หล่อน หน้าตาดีใช้ได้แต่เรื่องมารยาทยอดแย่เลยล่ะ เขาว่ากันว่ามองคนอย่ามองแค่หน้าตาหรือแค่ภายนอกจริง ๆ ด้วย เชื่อแล้วล่ะ
“ยอมรับค่ะว่าไม่ทันได้มองทาง และมันเป็นอุบัติเหตุฉันไม่ได้ตั้งใจจะเดินชน ขอโทษแล้วยังจะมาด่ากันอีกเหรอคะ อภัยให้กันได้ควรจะอภัยให้กันนะคะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงปกติก็จริงแต่ออกจะแข็ง ๆ หน่อย เพราะมีอารมณ์โมโหเหมือนกัน
“มีอะไรหมู” พ่อเทพบุตรของฉันส่งเสียงมาแต่ไกลเลย ว่าแต่จ่ายเงินค่าน้ำแค่นี้ทำไมถึงได้นานนักนะ แต่ช่างเถอะเรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่จะมาซักกันตอนนี้
“ขุน”
“ดา”
เหอะ! นี่ฉันกำลังอยู่ในฉากละครที่พระเอกกับนางเอกมาเจอกันโดยบังเอิญอยู่รึเปล่าเนี่ย สรุปสองคนนี้รู้จักกันสินะ และดูเหมือนว่ามันจะไม่ธรรมดาด้วย
“ขุนรู้จักกับคนนี้งั้นเหรอ” ยัยคนชื่อดาอะไรนี่ชี้นิ้วมาที่ฉันแต่กลับจ้องหน้านายขุนที่เอาแต่จ้องฉันอีกทีหนึ่ง
“ไม่รู้ได้ไงก็นี่เมียฉัน”
“เมียขุนงั้นเหรอ” ถามเสียงสูงปรี๊ด ดวงตาเบิกกว้าง บิ๊กอายสีเทาอมฟ้าของนางแทบกระเด็นมากระแทกหน้าอยู่รอมร่อ ไม่ได้เกินจริงเลยนะมันลักษณะนี้จริง ๆ คนอะไรตกใจได้น่ากลัวมาก แถมยังจ้องหน้าฉันเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้ออีก ฉันเป็นเมียนายขุนแล้วมันทำไม ถึงจะยังไม่ได้เป็นจริง ๆ ก็เหอะ
“อืม ก็เมียฉันน่ะสิ ตัวจริงเสียงจริง และมีแค่คนเดียวเท่านั้น” ขุนพลพูดแล้วโอบรอบเอวรั้งตัวฉันให้ขยับมาแนบชิดข้างกาย โอบเอวอย่างเดียวยังพอว่านะแต่นี่มีลูบเล่นด้วยคืออะไร แต่ฉันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรหรอก ปล่อยไปก่อน อยากถามใจจะขาดว่ายัยดายัยดาวเคราะห์น้อยคนนี้คือใครทำไมถึงต้องทำหน้าเหมือนปลาสำลักน้ำขาดออกซิเจนด้วย เมื่อนายขุนบอกว่าฉันคือเมียของเขาน่ะ กิ๊กเก่าหรือว่าแฟนเก่าซึ่งคำถามนี้มันวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในหัวสมองน้อย ๆ ของฉันจนน่าหงุดหงิด สลัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออก
“จะไปได้ยังขุน หรือถ้ายังไม่อยากไปก็ปล่อย จะไปเอง ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานรำคาญ เบื่อ” ฉันพูดเสียงนิ่ง ตรงที่เราหยุดยืนมันไม่ใช่ที่ที่สมควรจะหยุดยืนคุยเลยด้วยซ้ำ ขุนพลก้มหน้าลงมองแล้วพยักหน้าอย่างไม่ขัดอะไร
“อย่างอนพี่ขุนเลยน่า ไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อยอยากอยู่กับเมียหมูของพี่ขุนแค่คนเดียวเท่านั้น” ขุนพลพูดงอนง้อแล้วหอมแก้มฉันไปหนึ่งที ยัยดาอ้าปากหวอเลย ให้แมลงวันบินเข้าปากทีเถอะอยากเห็น
“ดะ...เดี๋ยวสิขุน ดายังอยากคุยกับขุนอยู่เลยนะ ใครอยากไปก็ไปก่อนสิ ทำไมต้องขัดขวางด้วยคนเขาอยากจะคุยกัน” หนอยคิดจะมาไล่ฉันทางอ้อมเหรอยะ ฝันไปเถอะ ฉันรีบกระทุ้งข้อศอกใส่สีข้างนายขุนเลยทันทีเมื่อฟังจนจบ
“แต่ฉันไม่อยากคุยกับเธอน่ะสิ และเมียฉันดุกรุณาปล่อยด้วยดา ฉันไม่อยากมีปัญหากับเมียเพราะคนอื่น” ขุนพลปลดมือที่จับท่อนแขนของเขาออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์สุด ๆ แต่แววตานี่บ่งบอกว่ารำคาญสุด ๆ เหมือนกัน
“ทำไมขุนใจร้ายกับดาจังเลย” โอ๊ย! หมั่นไส้แม่นางเอกคนดีนี่เหลือเกิน แกล้งทำเสียงอ่อยเสียงหงอย นัยน์ตาเศร้าโศกต่างจากนางมารร้ายคนนั้นที่ต่อว่าฉันเลย
“ขุน!!” ฉันเรียกเสียงแข็ง พลางจิกตาใส่บอกเป็นนัย ๆ ว่าให้รีบจัดการซะเพราะฉันเริ่มจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ดูดนมปั่นจนจะหมดแก้วอยู่แล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย
“ไปอ่อยคนอื่นเถอะว่ะ มีเมียแล้วไม่อยากมั่ว” โอ้ว ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนี้คงจะหน้าม้านไม่น้อย และฉันก็เห็นยัยนี่ทำหน้าช็อค ๆ นะเพราะคำว่ามั่วมันเต็ม ๆ หน้าเธอเลย แสดงว่าคน ๆ นี้ไม่ธรรมดางั้นเหรอเอ๊ะ! หรือว่าฉันคิดมากไปเอง
“ขะ...ขุน” ถึงกับเรียกเสียงแผ่วเลยฉัน ส่วนขุนน่ะเหรอ กำลังหอมกระหม่อมฉันอยู่ เหงื่อออกหัวขนาดนี้ยังจะหอมอีก มันคงยังไม่เหม็นหรอกใช่ไหม
“เราไปกันเถอะ” ขุนพลพูดกับฉันหลังจากชื่นใจกับหัวฉันเสร็จเรียบร้อยแต่ฉันก็ขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมเดิน เขามีสีหน้างง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คนของฉัน ฉันหวง โปรดอย่ามายุ่ง ผู้ชายเขาพูดขนาดนี้แล้วอย่าดึงดันทำให้ตัวเองดูไร้ค่าเลยนะจ๊ะ” ฉันทิ้งท้ายก่อนจะลากพ่อตัวดีออกมา โดยไม่หันหลังกลับไปมองอีกเลย
ตอนนี้ฉันกลับมาถึงคอนโดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหมดอารมณ์จะเดินดูของต่อโดยมีขุนพลตามติดก้นขึ้นมาด้วยและตอนนี้ก็กำลังนอนเล่นเกมส์อยู่บนโซฟาอย่างแสนจะสบายอุราในระหว่างที่ฉันกำลังยืนหน้ามันทำอาหารง่าย ๆ เป็นมื้อเย็นสำหรับเราสองคนอยู่หน้าเตา ซึ่งคนที่ร้องหิวก็คือพ่อตัวดีอีกนั่นแหละ
“หอมจัง” แรงกอดจากทางด้านหลังไม่ได้ทำให้ฉันตกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าใครคือตัวกวน ด้วยความที่เขาสูงกว่ามากเลยต้องก้มลงมาเกยคางไว้บนไหล่ฉัน
ฟอดด
“หอมทั้งคนทั้งอาหารเลยว่ะ เมียหมูของพี่ขุนเป็นแม่บ้านแม่เรือนสุด ๆ น่ารักเป็นบ้าทำอาหารก็ได้ด้วย ดีต่อใจพี่ขุนเหลือเกิน กะจะมัดใจผัวให้ไปไหนไม่รอดเลยใช่ไหมหมูจ๋า” ปากชมและยังถือวิสาสะเลื่อนมือขึ้นมาบีบหน้าอกฉันด้วย ทะลึ่งเกินไปแล้ว
“ไปทะลึ่งที่อื่นขุน เห็นไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่” ฉันดุเสียงเข้มและใช้ตะหลิวในมือเคาะที่หลังมือหนาแรง ๆ สมาธิในการผัดข้าวเริ่มจะหดหายแล้วด้วยตั้งแต่มีตัวกวนมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ มือที่แหมะไว้ตรงหน้าอกนี่ก็ไม่ยอมเอาออกด้วยนะ
“อยากจับไว้ทั้งคืนเลย” โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย ไอ้บ้าขุนสอดมือเข้ามาในเสื้อแล้วบีบเบา ๆ
“นี่!”
“ฉันกับดาเราไม่ได้เป็นอะไรกันนะหมู เธอเชื่อฉันนะ” อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องมันซะอย่างนั้นแหละ และฉันยังไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้นตั้งแต่ออกจากตลาดนัดแต่ก็ดีที่เขาพูดขึ้นมาก่อนเพราะตั้งใจว่าหลังจากกินข้าวเรียบร้อยจะซักอยู่พอดี
“แน่ใจเหรอ” ฉันถามและปิดแก๊สเมื่อแกงจืดปรุงสุกเรียบร้อยแล้ว
“ยิ่งกว่าแน่อีก” ขุนพลเสียงหนักแน่น เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าด้วย อา หมอนี่ถอดเสื้อโชว์หุ่นล่ำ ๆ ขาว ๆ ของตัวเองทำไม
“นอนด้วยกันมาแล้วกี่ครั้งล่ะ” ถามแล้วก็ต้องหงุดหงิดเองเมื่อเห็นท่าทางอึ้ง ๆ ของนายขุน พยายามจับจ้องแต่ใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาเท่านั้นต่ำกว่านั้นไม่อยากมองให้ใจเต้นแรง
“ยังไม่เคย”
“…”
“ไม่เชื่อพี่ขุนเหรอครับ ไม่เคยมีอะไรกับดาจริง ๆ นะ จะให้ไปสาบานที่ไหนก็ได้นะหมูจ๋า แค่รู้จักผิวเผินเท่านั้น ยัยนั่นเรียนอยู่คณะนิเทศปีเดียวกับฉัน เคยมาสารภาพว่าชอบฉันแต่ฉันไม่ได้ตอบรับ เรื่องทั้งหมดมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ ถ้าไม่เชื่อไปถามไอ้เคนกับไอ้จิวได้เลยพวกมันเป็นพยานได้ อย่าโกรธพี่ขุนนะน้องหมู” น้ำเสียงร้อนรนละล่ำละลักบอก เมื่อฉันเงียบและรัดฉันเอาไว้กับอกแน่น จมูกกับปากก็นัวเนียอยู่กับซอกคอ ฉันยกมือตีหลังประท้วง
“ปล่อยก่อน จะกินไหมข้าวน่ะ หิวไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เย็นชืดไม่อร่อยกันพอดีหรอก” ฉันดันตัวออกแต่ขุนไม่ยอมยังเกาะแน่นหนึบเป็นปลิงจนหายใจแทบไม่ออก
“ไม่เอา ไม่ปล่อยหรอก จนกว่าหมูจะบอกว่าไม่โกรธแล้วนั่นแหละ ถึงจะยอมปล่อยให้ไปกินข้าวได้” ขุนพลส่ายหน้าดิกกับซอกฉันเป็นเด็กดื้อเลย ฉันย่นจมูกใส่แม้ว่าเจ้าตัวจะมองไม่เห็นก็ตาม เดี๋ยวหื่น เดี๋ยวอ้อน เดี๋ยวงอแง หลายอารมณ์มาก
“ไม่โกรธและเชื่อแล้วโอเคไหม” ฉันเชื่อเขา เชื่อโดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย
“จริงนะ”
“จริงสิ ยกข้าวไปกินกันเร็วหิวแล้ว” ฉันลูบแผ่นหลังเขาก่อนจะผละออกเมื่อเจ้าตัวยอมคลายอ้อมแขนออก แต่ก็ยังไม่ยอมผละห่างไปไหนอยู่ดี
“จูบก่อน” ดูเอาเถอะ
“ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนเลย ไปใส่เสื้อให้เรียบร้อยด้วยจะได้กินข้าวสักที” ฉันดันหน้าเขาออกห่าง แต่นายขุนก็ยังยืนที่เดิมไม่ยอมถอยห่างไปจากฉัน
“หมู” เบะปากอีก คิดว่าทำแล้วน่ารักมากเลยรึไง ซึ่งคำตอบสำหรับฉันคือใช่ไง
จุ๊บ
แล้วฉันก็ใจอ่อนอีกตามเคย จุ๊บไม่ใช่จูบ และขุนพลคนนี้ก็ไม่ยอมเสียเปรียบ เขาเอาคืนฉันมากกว่าสองครั้ง ถ้ากลืนปากฉันลงท้องได้ฉันว่าเขาคงทำไปแล้ว
“ไม่ต้องมายิ้มเลย หมั่นไส้ย่ะ ฉันยังคาดโทษอยู่นะเรื่องยัยดานั่นน่ะบอกไว้ก่อน” ฉันชี้นิ้วดุ
“อ้าว ไหนบอกว่าไม่โกรธไง ทำไมต้องคาดโทษฉันด้วยอ่ะหมูแบบนี้ก็ได้เหรอวะเนี่ย” ขุนพลทำหน้างง ๆ อย่างไม่เข้าใจ พลางมองฉันตาปริบ ๆเหมือนลูกหมาตัวน้อย ๆ
“ก็อยากคาดโทษมีไรไหมล่ะ” จะว่าพาลก็ได้ไม่แคร์หรอก
“ไม่กล้ามีหรอกกลัวโดนหมูทับ” ขุนพลพูดเบา ๆ แต่ฉันมันหูดีไงเลยได้ยินพร้อมฟาดมือลงบนไหล่ขาว ๆ เต็ม ๆ แรงเลย บอกให้ใส่เสื้อก็ยังไม่ยอมใส่เลยไม่รู้จะโชว์ทำไมหุ่นเนี่ย ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนแกล้งยังไงก็ไม่รู้สิ
“ปากดีนักนะ”
ฉันผลักเขาออกแล้วยกจานข้าวไปที่โต๊ะโดยมีขุนพลช่วย ครั้งแรกที่ฉันทำให้เขากิน วิชาก็ได้มาจากมาม๊าคนสวยนั่นแหละ มาอยู่ไกลครอบครัวเลยไม่ต้องกลัวอดอยากเพราะทำกับข้าวเป็น แม้จะไม่เก่งกาจก็ตาม
“โอเคจ้ะน้องหมู พี่ขุนจะกินข้าวผัดและแกงจืดวุ้นเส้นฝีมือเมียหมูของพี่ขุนเดี๋ยวนี้แหละครับ” ขุนพลยิ้มขณะตักข้าวผัดแฮมเข้าปากคำใหญ่ หวังว่าจะถูกปากเขานะ
“พอกินได้ไหม” เคี้ยวหมดปากฉันก็ถามอย่างลุ้น ๆ
“อร่อยสุดในสามโลกเลย” ไม่รู้ว่าเขาพูดเพื่อเอาใจรึเปล่าแต่มันทำให้ฉันอดที่จะยิ้มไม่ได้เลย
“งั้นก็กินให้หมดนะ”
จุ๊บ
“จะกินไม่ให้เหลือซากเลย” ขุนพลจุ๊บเร็ว ๆ ที่มุมปากฉันแล้วยิ้มแฉ่งตาหยี เห็นแบบนี้แล้วดุไม่ลงเลยฉัน
