บทที่ 3
หลังจากไปต่อว่าต่อขานหลานชายสุดที่รักแล้วจบลงด้วยการถูกหลานตัวแสบย้อนกลับจนไปไม่เป็น คุณหญิงวิไลรัตน์ก็กลับขึ้นมายังห้องทำงานชั้นบนสุดของตึกซึ่งจัดไว้เป็นโซนเกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงพยาบาลทั้งชั้น โดยจัดแบ่งเป็นแผนกต่างๆ ตามสมควรทั้งแผนกบัญชี การตลาด ฝ่ายบุคคล และห้องทำงานของคณะผู้บริหาร ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดไม่หายก็พบลูกชายนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมเอกสารตั้งใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของนาง
“ไปเล่นงานเจ้าเขมมาแล้วหรือครับคุณแม่”
“ฉันโดนมันเล่นงานกลับล่ะสิไม่ว่า” คนเป็นแม่บ่นกระปอดกระแปดเดินมากระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามลูกชายที่ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ และว่า
“โดนมันเล่นงานอะไรมาล่ะครับ”
“เฮ้อ...เอาตรงๆ นะนุกุล แม่น่ะอยากจะให้ตาเขมแต่งงานลงหลักปักฐานสักที ขืนมัวแต่ลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยไปวันๆ แบบนี้ ไอ้เรื่องชู้สาวก็ไม่วายต้องเกิดขึ้นซ้ำซากอีก แม่ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ว่าที่ผู้บริหารโรงพยาบาลของตาเขมติดลบไปมากกว่านี้นะ” คุณหญิงว่าอย่างเป็นกังวล ความจริงแล้วคำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ ของหลานนางเองก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่คนเป็นย่าที่เลี้ยงดูหลานชายตัวน้อยมาแต่อ้อนแต่ออกก็ยังอดห่วงเสียไม่ได้ ลำพังชื่อเสียงวงศ์ตระกูลน่ะมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่นางห่วงมากกว่าคือหน้าตาทางสังคมของเขมรัฐต่างหาก แม้ว่าพ่อหลานชายตัวดีจะไม่ใคร่จะใส่ใจนักก็ตามที
“แล้วเราจะทำยังไงได้ล่ะครับคุณแม่ เราสองคนก็แก่มากแล้ว เจ้าเขมก็เป็นประเภทมีความคิดเป็นของตัวเอง รักอิสระแบบสุดโต่ง จะห้ามจะปรามอะไรเขาก็ไม่ฟังเราหรอกครับ อีกอย่างที่คุณแม่อยากให้เจ้าเขมแต่งงาน ทำอย่างกับว่ามันจะหาหลานสะใภ้ที่คุณแม่พอใจได้ง่ายๆ อย่างนั้นแหละ” ผู้เป็นเอ่ยอย่างรู้จักนิสัยของมารดาเป็นอย่างดี คุณหญิงวิไลรัตน์นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นบุคคลประเภทช่างเลือกขนาดไหน นุกุลยังจำได้ดีเลยทีเดียวว่าตอนที่เขาคบหากับพรรณวดี แม่ของเขาก็ถึงกับส่งคนไปตามสืบประวัติจนละเอียดยิบ ดีหน่อยก็ตรงที่ท่านไม่ใช่คนมองคนที่ชาติกำเนิดหรือวงศ์ตระกูล หากแต่มองคนที่การกระทำ ทำให้พรรณวดีที่แม้จะเป็นเพียงลูกชาวนาระดับล่างที่มีความมานะจนได้ทุนเล่าเรียนจนจบปริญญาเป็นที่ยอมรับของแม่ได้ไม่ยาก...
...ก็ขนาดลูกสะใภ้ ท่านยังดูแล้วดูอีก แล้วกับหลานสะใภ้ล่ะจะเหลืออะไร...
“เฮ้อ...นุกุล นี่ถ้าแกมาบริหารงานต่อจากฉันได้ก็ดีน่ะสิ” ว่าแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างแสนเสียดาย คุณหญิงมองสบตาที่สะท้อนแววหม่นเศร้าแต่ก็ยังพยายามทำเป็นสดใสของลูกชายก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเถอะ...ว่าจะไปแล้ว เรื่องแฟนตาเขม คนที่ฉันว่าพอจะเข้าท่ามันก็ดันไปเลิกกับเขาซะนี่”
“ใครครับ เนตรนภาหรือ” ในความทรงจำของนุกุล ผู้หญิงที่เข้ามาคบหากับลูกชายมากหน้าหลายตาเสียจนเขาแทบจำไม่ได้ มีก็แต่เนตรนภาที่สร้างวีรกรรมไว้เสียจนเขาไม่อาจลืม
“บ้าสิ...ขนาดแกยังไม่ชอบแล้วฉันจะไปเหลืออะไรล่ะ” คุณหญิงแหวใส่ลูกชายพลางหยิบเอาเอกสารตรงหน้ามาเปิดๆ กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ เงยหน้ามาสบตากับนุกุลตรงๆ และว่า “ก็เด็กคนนั้นไง ที่ตาเขมเคยพาเข้าบ้านมาแนะนำให้พวกเรารู้จักจำไม่ได้หรือ”
“อ๋อ...รู้สึกจะชื่อหนูชมพู จำได้แล้วครับ” นุกุลยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวชื่อ ‘ชมพู’ อดีตคนรักของลูกชายที่ดูๆ ไปแล้วกับคนนี้เขมรัฐให้ความสำคัญมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ถึงขนาดกล้าพามาเปิดตัวกับเขากับย่าเลยด้วยซ้ำ และสาวน้อยคนนั้นก็เข้ากันได้ดีกับคุณหญิงเสียด้วย
“ใช่...คนนั้นแหละ ฉันล่ะเสียดายจริงๆ ป่านนี้เด็กคนนั้นไม่รู้แต่งงานแต่งการไปหรือยัง ตาเขมล่ะก็นะ พอเจอผู้หญิงดีๆ ก็ปล่อยให้เขาหลุดมือ เฮ้อ...”
เมื่อเห็นคนเป็นแม่ทอดถอนใจพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความเสียดายอย่างเห็นได้ชัด คนเป็นลูกอย่างนุกุลก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ออกความคิดเห็นอะไรออกมา ด้วยลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกเอ็นดูเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย จำได้ว่าตอนที่คบกับเขมรัฐ เด็กชมพูกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายกระมัง ป่านนี้ก็คงทำงานทำการมีครอบครัวไปเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงหน้าตาสะสวย ฉลาด เข้ากับคนง่าย และรู้จักวางตัวอย่างนั้น ใครไม่คว้าไว้ก็โง่เต็มที โง่พอๆ กับลูกชายเขาที่ปล่อยให้เจ้าหล่อนหลุดมือนั่นล่ะ
“เอาเป็นว่าตอนนี้เราพักเรื่องเจ้าเขมมันไว้ก่อนดีกว่านะครับคุณแม่ นี่เป็นเอกสารข้อมูลการสั่งซื้อยาของแต่ละแผนกที่ส่งมาเพื่อขอให้คุณแม่อนุมัติการสั่งซื้อครับ” นุกุลเปลี่ยนประเด็นจากลูกชายมาเข้าเรื่องงานบ้าง เพราะ นอกจากเขาจะมีตำแหน่งเป็นแพทย์ระบบประสาทแล้ว เขายังพ่วงตำแหน่งหัวหน้าแพทย์ซึ่งต้องคอยรับเรื่องต่างๆ จากแพทย์ในแต่ละแผนกที่ต้องการจะยื่นเรื่องเพื่อเสนอต่อท่านผู้บริหารอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
“แล้วแกอ่านมาบ้างหรือยัง มีความเห็นว่ายังไง” เป็นประจำทุกครั้ง แม้คุณหญิงจะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ แต่นางก็มักจะถามความเห็นจากลูกชายซึ่งเป็นหมอก่อนเสมอ นางเป็นนักธุรกิจ นางย่อมต้องแสวงหาผลกำไร แต่ลูกชายเป็นหมอ ย่อมเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของคนไข้เป็นสำคัญ นางจึงต้องทำให้โรงพยาบาลนี้สมดุลทั้งกำไรและผลประโยชน์ของคนไข้
“ผมว่าก็ดีนะครับ ยาแต่ละชนิดที่หมอเขาเสนอมาผมลองหาข้อมูลดูบ้างแล้วเห็นว่าน่าสนใจมากทีเดียว แต่บางตัวจะมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าเรานำเข้ามาใช้จ่ายยาให้คนไข้ มันอาจทำให้คนไข้ต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วย”
แล้วการสนทนาระหว่างสองแม่ลูกก็เปลี่ยนจากเขมรัฐเป็นเรื่องงานซึ่งมีผลประโยชน์ของโรงพยาบาลและคนไข้เป็นแกนสำคัญ
