บทย่อ
อดีตชาติ หลิ่วหยุนเซียงอยู่เป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว เพื่อรักษาสถานการ์ณง่อนแง่นของจวนพระยาจิ้งอัน หักโหมทำงานหนักมาทั้งชีวิต ตอนผมหงอกเต็มหัวถึงรู้ว่า สามีของนางนั้นยังไม่ตาย หลบพลอดรักกับหญิงสาวอยู่ดินแดนในอุดดมคติ แม่สามี พ่อและแม่ของนางล้วนรู้เรื่องนี้ แต่เพื่อบังคับให้นางทำงานรับใช้เป็นวัวเป็นควาย ก็เลยปิดบังนางลูกเดียว!จนกระทั่งนางตาย นางก็ไม่เคยได้มีความสุขกับเค้าบ้างเลย! พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง หลิ่วหยุนเซียงเกิดใหม่แต่งเข้าจวนพระยาจิ้งอันเป็นปีที่สาม ในเมื่อจวนพระยาไม่ให้ความเป็นธรรมกับนาง นางล้มล้างทุกสิ่งอย่าง จะทำให้ผู้ชายเฮงซวยที่หักหลังนางชดใช้อย่างสาสม!กลายเป็นพ่อค้าที่เป็นผู้หญิงคนแรก อำนาจเหนือปฐพี! เพียงแต่ เหยียนมู่ไอ้คนทรยศที่เห็นนางเป็นแค่ตัวแทน ทำไมอยู่ๆก็มาคลอเคลียอยู่นั่น? ไม่ใช่ควรอยู่ประคองบุตรชายนางในฝันขึ้นครองราชย์ ยอมที่จะสละชีวิตหรอกหรือ? เหยียนมู่:รีบหย่าขาดจากชายเลวๆคนนั้นซะ ลูกจะเรียกผู้ชายห่วยๆคนนั้นว่าพ่อไปได้! หลิ่วหยุนเซียง:……???
บทที่ 1 คับข้องใจ
“ฮูหยินเฒ่า เกรงว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว พวกเราพักผ่อนกันที่โรงเตี๊ยมสักคืนเถิด แล้วพรุ่งนี้ค่อยขึ้นเขากัน”
ภายในรถม้า จิ่งโมโมมองไปยังเจ้านายของตนด้วนความเป็นห่วง หลิ่วหยุนเซียงฮูหยินเฒ่าแห่งจวนพระยาจิ้งอัน
นางเพิ่งจะอายุได้ห้าสิบ เดิมทีควรจะดูหรูหราสง่างามแต่กลับต้องทำงานหนักมาตลอดชีวิต ทำให้นางดูแก่กว่าอายุจริง และสุขภาพนับวันก็ยิ่งแย่ลง
ฮูหยินเฒ่าลืมตาขึ้น บนใบหน้ามีความโกรธเกลียดชังเล็กน้อย “วันนี้ข้าจะขึ้นเขา แค่ก...แค่ก ”
“ฮูหยินเฒ่า!”
จิ่งโมโมรีบช่วยพยุงฮูหยินเฒ่า และเห็นว่านางอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“ถ้าไม่ได้เจอเขาก่อนตายสักครั้ง ข้าคงไม่สงบสุข”
หลิ่วหยุนเซียงผลักจิ่งโมโมออก และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดับกลิ่นเลือดลง
จิ่งโมโมหมดซึ่งหนทาง ทำได้เพียงช่วยพยุงฮูหยินเฒ่าลงจากรถ
พวกเขามาที่นี่โดยใช้ทั้งทางบกและทางน้ำเดินทางยากลำบากยิ่ง แต่หมู่บ้านวั่งชิอยู่ในหุบเขา และเส้นทางบนถนนสายนี้ช่างขรุขระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฝนตก ที่ทำได้เพียงเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น
ขาและเท้าของหลิ่วหยุนเซียงไม่ค่อยดีนัก ลำบากยากยิ่งนักที่จะเดินบนถนนภูเขาเส้นนี้ เดินไปได้เพียงไม่ไกลก็ไม่สามารถที่จะยืดตัวขึ้นได้แล้ว แต่นางก็ไม่ยอมพักหยุดแม้แต่เพียงครู่เดียว
เมื่ออายุได้ 16 ปี นางแต่งงานกับเซี่ยจื่ออันลูกชายคนที่สามของจวนพระยาจิ้งอัน ในคืนวันแต่ง ยังไม่ทันที่จะเข้าหอ สามีก็ถูกเรียกไปออกรบเป็นการด่วน การไปครั้งนี้ ไม่เคยนึกคิดเลยว่าเขาจะไม่ได้กลับมาอีก
หม้ายวัยสาว จวนพระยาที่เสื่อมโทรม ผู้ชายตายหมดเหลือเพียงแค่คนแก่และเด็ก มีเพียงนางที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวนี้ได้
ดูแลเลี้ยงดูเช่นนี้มาจวบจนบัดนี้ ชั่วชีวิตแล้วก็สิ้นไปในภวังค์
บัดนี้จวน จวนพระยานับเป็นอันดับหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ นางถือได้ว่าไม่ได้ทำให้บรรพบุรุษของตระกูลเซี่ยและสามีผู้ล่วงลับไปแล้วผิดหวัง เดิมทีควรถึงเวลาดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้รับข่าวคราวของสามีที่ตายไปแล้วสี่สิบปี
ในที่สุด ก็เดินจนถึงสุดถนน
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นอีกครั้ง ก็พบดอกท้อบานสะพรั่งทั่วทั้งภูเขาและเนินเขา เป็นช่วงเวลาดอกบานสะพรั่ง กระจุกกันคล้ายดั่งก้อนเมฆทอดยาวสวยงาม เมื่อลมพัดกลีบดอกสีชมพูก็ร่วงหล่นดุจดั่งสายฝนแห่งดอกไม้
ในจดหมายกล่าวว่า: เส้นทางที่คดเคี้ยวของป่าท้อนำไปสู่ตำหนักที่มีลานกว้าง ผนังเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้
ที่นั่นเป็นบ้านของเขา
เดินไปตามถนนชิงสือ เหยียบกลีบดอกท้อหนาๆ พลางดมกลิ่นหอมของดอกท้อ เปรียบเหมือนดั่งอยู่ในแดนสวรรค์ ไม่คิดเลยว่านอกเมืองซิ่งจิงจะมีสวรรค์ที่สงบและสวยงามซ่อนอยู่ห่างไกลจากโลกภายนอกเยี่ยงนี่
หลิ่วหยุนเซียงเคยจินตนาการไว้ว่า เมื่อนางแก่ตัวลงและสามารถปล่อยวางเรื่องของครอบครัวได้อย่างสบายใจ นางจะหาสถานที่ที่เงียบสงบเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย
แต่ช่างน่าเสียดาย สิ่งที่นางคิดและฝันมาตลอดชีวิต จวบจนวันนี้กลับยังปล่อยมือจากเรื่องนี้ไปมิได้
มีลำธารเล็ก ๆ อยู่ด้านหน้า สายน้ำที่กำลังไหลรินปกคลุมไปด้วยกลีบดอกไม้สีชมพู สวยงามจนทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม บนลำธารมีสะพานไม้ทอดยาวอยู่ พอข้ามไปแล้วก็จะเห็นมีลานกว้างอยู่ที่นั่น
ดังที่ได้กล่าวไว้ในจดหมาย ผนังถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ดอกไม้หลากสีสัน
“ฮูหยินเฒ่า” หรือว่า… จิ่งโมโมมีสีหน้าปวดใจ
“มาถึงนี้แล้ว ข้าจะต้องไปดูเขาเสียหน่อย” หลิ่วหยุนเซียงตบลงบนมือจิ่งโมโมเบาๆ
เมื่อยังเยาว์วัยนางเป็นคนจิตใจมั่นคง เมื่อยามแก่ตัวลงก็อ่อนโยนใจดีและมีเมตตา ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยมาตลอด
บานประตูไม้เปิดกว้างอยู่ หลิ่วหยุนเซียงเดินไปยังหน้าประตูและได้เห็นชายร่างสูงกำลังตัดแต่งกิ่งต้นท้อ เขาสวมชุดเรียบง่ายธรรมดา มีผมขาว แต่ก็ไม่มากนัก และร่างกายของเขาก็ไม่ได้โก่งงอ
“ท่านปู่ ข้าจะเอาดอกท้อดอกนั้น!”
"ข้าก็ด้วย ข้าจะเอาด้วย"
เด็กหกเจ็ดคนวิ่งออกมาจากในเรือน ขอร้องให้ชายผู้นั้นตัดกิ่งดอกท้อให้แก่พวกเขา
เด็กเหล่านี้ โตๆก็อายุประมาณ 10 ขวบ เล็ก ๆก็ 2-3 ขวบ มีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง ดูอวบอ้วนน่ารักยิ่งนัก
ชายผู้นั้นก็ตัดกิ่งนี้ที ตัดกิ่งโน้นที หยอกล้อเล่นกันกับเด็ก ๆทำให้พวกเขาดีใจหมุนรอบต้นท้อเล่นอย่างมีความสุข
“เจ้าหน่ะ ก็ตามใจพวกเขาเสียแบบนี้ ตัดกิ่งท้อเสียจนโล่งเตียนหมดแล้วปีนี้จะยังมีลูกท้อให้อีกไหม?” ในเวลานี้มีแม่หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากเรือน สวมใส่เสื้อผ้าลวดลายสวยงาม มีผมสีดำขลับและสีผิวมีเลือดฝาด หัวเราะกระซิกและช่วยพยุงชายผู้นั้นลงจากบันไดไม้
“ลูกหลานรายล้อม นับเป็นสุขยิ่ง” ชายผู้นั้นเอ่ยพลางยิ้ม
เมื่อชายผู้นั้นหันกลับมา เห็นเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย หลิ่วหยุนเซียงใช้เวลาดูอยู่ถึงครู่ จึงจะจำใบหน้าอันคุ้นเคยนี้ได้เล็กน้อย
“จิ่งเยียน นั่นใช่เขารึปล่าว?”
จิ่งโมโมถอนหายใจ "เป็นนายท่านสามเจ้าค่ะ"
“เช่นนั้นแม่หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็คือภรรยาของเขาอย่างนั้นสินะ?”
"อย่างมากสุดก็แค่เมียรอง"
หลิ่วหยุนเซียงฝืนยิ้ม "ทำไมพวกเขาถึงดูอายุน้อยกว่าข้ามากนัก"
ภายในใจจิ่งโมโมเต็มไปด้วยความขมขื่น "ท่านหน่ะ ต้องดูแลจวนพระยาที่มีขนาดใหญ่และทำงานหนักมาตลอดชีวิต ส่วนพวกเขาหน่ะหรือ กลับอยู่ในสถานที่ที่มีภูเขาสวยงามมีน้ำใสสะอาด ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร นี่มันหาที่เปรียบมิได้ "
ชายผู้นั้นตัดกิ่งดอกท้ออีกกิ่งหนึ่ง และสอดเข้าไปในมวยผมของหญิงผู้นั้นอย่างบรรจง
"ลี่เหนียง เจ้ายังคงงดงามถึงเพียงนี้"
หญิงที่มีอายุอานามขนาดนี้แล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ ก็ยังคงรู้สึกเขินอาย
“ใช่แล้ว จวนพระยาส่งข่าวมาว่าคนผู้นั้นล้มป่วย เกรงว่าจะมีเวลาอีกไม่มาก ท่านจะไม่กลับไปดูหน่อยหรือ?”
ชายผู้นั้นกุมมือของหญิงสาว “เจ้าอยากให้ข้าไปหรือไม่”
“ข้าจะอยากให้สามีของข้าไปพบหญิงอื่นได้อย่างไรกัน”
“งั้นข้าก็จะไม่ไป เดิมทีข้ากับนางก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันธ์อันใดกัน”
“เจ้าค่ะ”
ผู้ชายกำลังนั่งโอบกอดผู้หญิงไว้ในอ้อมแขนอยู่ใต้ต้นท้อ และมีเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานอยู่รอบพวกเขา
ระหว่างทางกลับ จิ่งโมโมมองดูฮูหยินเฒ่าที่หลับตาอยู่ตลอด จนน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง
“ฮูหยินเฒ่า สุขภาพของท่านไม่ดีนัก พวกเราพักกันที่โรงเตี๊ยมสักสองวันก่อนเถิด”
เมื่อจิ่งโมโมเห็นว่าฮูหยินเฒ่าไม่ตอบ จึงถามอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใด
นางตกใจอย่างยิ่ง และรีบไปตรวจดูลมหายใจของฮูหยินเฒ่า แต่มันหายไปเสียแล้ว...
“ฮูหยินเฒ่าสิ้นใจแล้ว!”