บทที่ 8 มลทินตัวซวย
บทที่ 8 มลทินตัวซวย
ความเงียบที่ตามมาหนักอึ้งยิ่งกว่าความตาย นายกองจางเหยียนตัวสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่คือความ กลัว เขารู้ ทุกคำที่สตรีอัปมงคลผู้นี้พูดคือความจริง!มันเป็นความจริงที่แสนจะโหดร้ายด้วย ค่ายอุดรมีเกลือสำรองเหลือพอใช้ได้ไม่ถึงเจ็ดวัน! นี่คือการวิเคราะห์ที่เฉียบขาดเด็ดชีพจร และมันมาจากสตรีที่พวกเขาเพิ่งตราหน้าว่าไร้ประโยชน์
ดวงตาของฉีเจิ้นหรี่ลงประกายความสนใจที่เคยปรากฏบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม เขาประเมินเธอใหม่ไม่ใช่ในฐานะตัวซวยไม่ใช่ในฐานะไส้ศึกแต่ในฐานะอาวุธ อาวุธที่อันตรายและไม่รู้ว่าปลายดาบหันไปทางใด
"เจ้าฉลาด" เขาเอ่ย เสียงเรียบไร้ระลอกคลื่น
"ฉลาดเกินไป"
เขาเดินออกจากหลังโต๊ะ กลิ่นอายแห่งการสังหารแผ่ออกจากร่างสูงใหญ่
"แต่สตรีที่ฉลาด ที่ปรากฏตัวขึ้นกลางกองศพ โดยอ้างว่ารอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง"
เขาหยุดยืนตรงหน้าเธอ ใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากชุดเกราะของเขา
"ความฉลาดของเจ้าไม่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์" ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นจ้องลึกลงมา
"มันแค่พิสูจน์ว่าหายนะที่เจ้าอาจจะนำมามันถูกคำนวณไว้แล้ว"
นี่คือตรรกะของเขา! ตรรกะของแม่ทัพผู้ไม่เชื่อสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เลวร้ายที่สุด!
"ท่านแม่ทัพ!" จางเหยียนได้สติ "นางรู้เรื่องเกลือ! นางอาจจะเป็นคนส่งข่าวให้ศัตรู!"
"ไม่" ฉีเจิ้นตอบทันควัน
"ถ้านางเป็นคนส่งข่าวนางจะแกล้งโง่ ไม่ใช่ชี้เป้ามาที่ 'เกลือ' เพื่อแสดงความฉลาด"
เขากำลังวิเคราะห์เธอ ต่อหน้าเธอ!ผู้ที่เป็นอัฉริยะด้านการวิเคราะห์และตรรกะ…มันช่างเป็นการหยามกันต่อหน้าต่อตาเสียจริง แต่ว่าเธอทำอะไรได้หรือไม่ คำตอบคือ..ไม่..ทำอะไรไม่ได้ มีนาเม้มปาก ‘[เขาอ่านเกมขาด แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อฉัน]’
"ท่านแม่ทัพ ท่านจะทำอย่างไรกับนาง?"
แม่ทัพฉีเจิ้นหันหลังให้นาง กลับไปนั่งที่โต๊ะ
"ในค่ายนี้ความเชื่อของทหารอยู่เหนือเหตุผล" เขาประสานมือจ้องมองเปลวเทียน
"พวกเขาเชื่อว่านางคือ'ตัวซวย'หากข้าปล่อยนางขวัญกำลังใจที่แทบไม่เหลือจะพังทลายหากข้าฆ่านาง โดยที่นางอาจจะ'บริสุทธิ์' นั่นคือการยอมรับว่าข้ากลัวโชคลาง"
เขาคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้น
"จางเหยียน"
"ขอรับ!"
"นางพูดถูกปัญหาของเราคือหนอนบ่อนไส้แต่ก่อนที่เราจะจับหนอนเราต้องกักกันตัวอัปมงคลนี้ไว้ก่อน" เขาโบกมือ
"เอาตัวนางไปไม่ใช่คุกไม่ใช่กระโจมทหาร" เขาหยุดเลือกสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด
"โยนเข้าไปในคอกม้าเก่าท้ายค่ายจัดยามเฝ้าสองคนห้ามผู้ใดเข้าใกล้ห้ามผู้ใดสนทนา และ" เขาหรี่ตา
"รอดู ว่าจะมี 'ใคร' พยายามติดต่อกับนางหรือไม่"
เขาไม่ได้ขังนางเพราะเชื่อว่านางคือตัวซวยเขาขังนางเพื่อใช้นางเป็นเหยื่อล่อหนอนบ่อนไส้!
[คอกม้าเก่า]
"ผลัก!"
ร่างของหลิวซินซินถูกโยนเข้าไปในความมืดกระแทกลงบนกองฟางแห้งที่แข็งและเหม็นอับประตูไม้ผุๆ ถูกปิดลง เสียงสลักไม้ดังลั่น
"อั่ก"
มีนาไอค่อกแค่ก ฝุ่นฟางและกลิ่นมูลม้าที่หมักหมมมานานแทบทำให้เธอขาดอากาศหายใจ
"อื้อหือ! พี่จ๋า! นี่มันไม่ใช่คอกม้าแล้ว! นี่มันส้วมเคลื่อนที่!"
เจ้าหนูกุมารทองปรากฏร่างขึ้น มันเอามืออวบๆ ปิดจมูกลอยตัวสูงติดเพดาน
"เหม็น! เหม็นกว่ากลิ่นกระดูกเน่าอีก! พ่อจ๋าไม่เคยเลี้ยงหนูแบบนี้นะ! หนูจะฟ้องพ่อจ๋า!"
‘[หุบปากน่า อย่างน้อยมันก็กันลม]’ มีนาตอบกลับในใจ เธอยันตัวลุกขึ้น สมองวิศวกรเริ่มทำงานอัตโนมัติ ‘[โครงสร้าง: ไม้เนื้อแข็ง แต่ผุพัง 60%, ช่องโหว่: หลายจุด, ความปลอดภัย: 0%]’ เธอมองไปรอบๆ ที่นี่คือสุสาน สุสานของม้าที่ตายไปแล้ว
"พี่จ๋า ไอ้แม่ทัพนั่นมันใจร้าย" ไอ้หนูเริ่มบ่น
"มันด่าพี่จ๋า มันขังพี่จ๋า ทำไมพี่จ๋าไม่ให้หนูต่อยมัน? พ่อจ๋าบอกว่าถ้าใครรังแกพี่ ให้หนู 'จัดการ' ได้เลย!"
มีนากรอกตามองบนกับความคิดของเจ้าอ้วนน้อย
“ก่อนจะพูดอะไรก็ดูสภาพของฉันด้วย! ฉันเป็นนักโทษของเขา แล้วจะให้ฉันต่อยเขาได้อย่างไรแค่นี้เขาก็สงสัยจนโยนเข้ามากักไว้ในคอกม้าแล้ว อีกอย่างเจ้าหนูเอ็งก็ดูร่างนี้ก่อน ดูแขนเล็กๆผอมๆนี้จะเอาแรงที่ไหนไปต่อย เฮ้อเป็นผีแล้วยังพูดไม่คิดอีก”
“เออ…มันก็จริงของพี่จ๋านะ ตอนนี้พี่จ๋าผอมจะตาย แค่ข้าเปาเบาๆ ก็ปลิวแล้วน่าจะไม่มีแรงจริงๆ ” เจ้าหนูเสียงอ่อย จากนั้นมันก็ลอยวนไปตรงนั้นตรงนี้ภายในคอกม้า ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โครก!! ครากกก!! ”
เจ้าอ้วนน้อยสะดุ้งเล็กน้อยและทำหน้าเขินอายก่อนจะพุ่งตรงมาที่หูของเธอ มันยกมือป้องและกระซิบข้างหูเธอเบาๆ ว่า
"พี่จ๋าหนูหิวหล่ะ!!"
คำพูดนั้น กระแทกใจเธอร่างกายของหลิวซินซินมันกำลังสั่นไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เพราะความหิวเธอไม่ได้กินอะไรที่มีประโยชน์มากี่วันแล้ว?ความทรงจำของหลิวซินซินมีแต่ความอดอยากและตั้งแต่เธอตื่นมาก็มีแต่เลือดในปากนี่คือปัญหาเร่งด่วนที่สุด ร่างกายนี้กำลังจะเป็นลมอีกครั้งเพราะความหิวนั้นเอง
เวลาผ่านไปความมืดในคอกม้าถูกแทนที่ด้วยแสงจันทร์สีซีดที่ส่องผ่านรูรั่วเสียงจากภายนอกค่ายเงียบลงแต่เสียง ภายในค่ายเพิ่งจะเริ่มต้น
ยามสองคนถูกบังคับให้มาเฝ้าหน้าคอกม้าพวกเขายืนห่างออกไปสิบก้าวยืนตัวแข็งทื่อมองคอกม้าผุๆ ราวกับมันคือประตูขุมนรก
"บัดซบ ทำไมต้องเป็นเวรของข้า" ทหารคนหนึ่งพึมพำฟันของเขากระทบกัน
"หุบปาก!" อีกคนตวาดเสียงสั่น
"อย่าให้นางได้ยินเสียง!"
"ได้ยินอะไรเล่า! นางคือตัวซวย! เจ้าก็ได้ยินที่นายกองจางเล่า!" เสียงนั้น ดังพอที่ให้มีนาได้ยิน
"นาง คือภรรยาของนายกองหวัง ที่เพิ่งตายในขบวนนั่น!" (ข่าวลือ เริ่มบิดเบือนจากข้อเท็จจริง จาก 'ผู้อาศัย' กลายเป็น 'ภรรยา' เพื่อเพิ่มน้ำหนักของโชคร้าย)
"สาบานต่อเทพเจ้า!" ทหารคนแรกอุทาน
"เพิ่งแต่งงาน สามีก็ถูกส่งไปตาย! ร่างยังหาไม่เจอ!นี่มันตัวอัปมงคลของแทร่แล้ว"
"นั่นยังไม่เลวร้ายที่สุด" ทหารคนที่สองกดเสียงต่ำ
"ข้าได้ยินจากพวกที่มาจากหมู่บ้านเดียวกับนางก่อนที่นางจะมาที่นี่ หมู่บ้านของนางครอบครัวของนางถูกโจรป่าฆ่าล้าง ตายเรียบ!และนางก็รอดมาคนเดียว!" หนักเข้าไปอีก!
ความเงียบ เข้าครอบงำยามทั้งสองขนลุกเกรียว
"สองครั้ง" ทหารคนแรกเสียงสั่น "ขบวนแรกตายหมด นางรอด ขบวนที่สองตายหมด นางก็รอดอีกนี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว! นี่มัน นี่มันนางปีศาจที่กินดวงชะตาคน!"
"ใช่! ตอนที่นายกองจางพบนางนางนอนหลับอยู่กลางกองศพ ไร้รอยขีดข่วน!นางต้องสมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรภูตผี นางต้องเป็นเครื่องสังเวยที่พวกมันส่งมา!"
มีนาหลับตาลงนี่คือมัน นี่คือความเกลียดชังที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้นี่คือความคิดของชาวบ้านความคิดที่บิดเบี้ยวเพราะความกลัว มันคือสิ่งเดียวกับที่พ่อของเธอเคยเผชิญ ความงมงายที่ทำลายล้างทุกเหตุผล
‘[พวกเขา ไม่ได้กลัวฉัน]’ เธอวิเคราะห์อย่างเย็นชา ‘[พวกเขากลัว ความตาย กลัวความพ่ายแพ้ กลัวความอดอยาก และฉันคือสิ่งที่จับต้องได้เพียงหนึ่งเดียว ที่พวกเขาสามารถโยนความกลัวทั้งหมดใส่ได้]’
ตอนนี้สรุปรวมแล้วว่าเธอคือ มลทิน100% ว่าแต่เมียนายกองหวังนี่มันมาได้อย่างไรกันนะอันนี้เธอก็งงเหมือนกัน..เสียงท้องร้อง มันดังจนน่าอาย ร่างกายของหลิวซินซินกำลังประท้วง
"พี่จ๋า พี่จ๋าหิว" เจ้าหนูเลิกบ่นเรื่องกลิ่น ตอนนี้มันลอยมานั่งตักเธอ เอามืออวบๆ กุมท้องตัวเอง (แม้ว่ามันจะไม่มีท้องจริงๆ)
"ที่นี่ไม่มีใครให้ของเซ่นไหว้เลย ไม่มีไก่ต้ม ไม่มีน้ำแดง ไม่มีแม้แต่ธูปเน่าๆ!" ตอนนี้มันไม่เลือกมากแล้วและนึกถึงธูปเน่าของพ่อจ๋าขึ้นมาแล้ว
‘[ฉัน รู้]’ มีนาพยายามข่มความปวดเกร็งในกระเพาะ เธอรู้ว่าแม่ทัพฉีเจิ้นสั่งกักกันแต่เขาไม่ได้สั่งอดอาหาร เธอคิดว่าไม่นานอาหารน่าจะมาถึง
แกรกเสียงฝีเท้าที่แตกต่างทหารคนที่สามเดินถือชามไม้เก่าๆ มา ในนั้นมีข้าวต้มเละๆ ที่แทบจะเป็นน้ำ เขาเดินมา แต่หยุดกิึกห่างจากคอกม้าสิบก้าว ตรงที่ยามสองคนนั้นยืนอยู่
"อาหารของนักโทษ!" เขากระซิบเรียกยามยามสองคนนั้นถอยกรูดราวกับเขาถือถ่านไฟร้อนๆ
"เจ้าบ้าไปแล้ว! จะเอามันไปให้นางรึ?"
"ก็ ก็คำสั่ง" ทหารคนที่สามอึกอัก
"คำสั่งบ้าบออะไร!" ยามคนแรกตวาด
"เจ้าอยากโดนคำสาปของนางรึไง! เจ้าอยากให้ครอบครัวเจ้าตายหมดรึ!เจ้าไม่เห็นรึ ตั้งแต่นางเหยียบเข้าค่าย ลมก็เริ่มเปลี่ยนทิศ อากาศมันเย็นกว่าปกติ!"
ทหารคนที่สามหน้าซีดเผือดเขามองชามในมือ สลับกับคอกม้าที่เงียบสงัด
"ขะ ข้า ข้าไม่สน!"
เขาตัดสินใจ เขารวบรวมความกล้า แล้ว ขว้าง ชามข้าวนั้น!
เคร้ง! โครม! ชามไม้กระแทกกับพื้นดินโคลนนอกคอกม้า ห่างจากประตูหลายก้าว ข้าวต้มเละๆ หกกระจาย ปนเปื้อนกับดินและมูลสัตว์
"นั่น! กินซะ นังปีศาจ!"
เขาร้องตะโกน ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ยามสองคนนั้น ก็ขยับถอยห่างไปอีก
มีนาค่อยๆหันไปมองหน้าเจ้าอ้วนน้อยราวกับจะบอกว่า นั้นคืออาหารของพวกเรา จากนั้นก็ค่อยๆ จ้องมองข้าวต้มที่ปนเปื้อนดิน ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่มือเธอจะเอื้อมถึงนี่คือการตัดสินพวกเขาไม่ได้แค่กักกันเธอพวกเขากำลังจะปล่อยให้เธอ อดตาย
"พี่จ๋า" เจ้าหนูเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีทองของมัน ไม่มีแววขี้เล่นอีกต่อไป
"พวกมัน พวกมันไม่ให้ข้าวกิน" เสียงเล็กๆ นั้น เริ่มสั่น
"พวกมัน รังแกพี่จ๋า"
มีนากล้ำกลืนน้ำลายที่ขมเฝื่อน ‘[ไม่เป็นไร ฉันทนได้ สองวันอย่างมากสามวันฉีเจิ้นต้องเรียกตัวฉันเขาต้องการข้อมูลเรื่องเกลือ]’
"ไม่!" ไอ้หนู ลุกขึ้นยืนบนตักเธอ! "พ่อจ๋าบอกว่าห้ามใครรังแกพี่จ๋า!พ่อจ๋าบอกว่าถ้าใครทำร้ายพี่ให้หนูกินมัน!"
ฟู่! อุณหภูมิในคอกม้า ลดลงฮวบ! ไม่ใช่ความหนาวจากลม แต่คือความเย็นเยียบจากจิตสังหาร!
ร่างเล็กๆ ของเจ้าหนู เริ่มแผ่ไอสีดำจางๆ ออกมา! ดวงตาสีทอง เริ่มเปลี่ยนเป็นสี แดงก่ำ!
"พวกมันไม่ให้ข้าวพี่จ๋ากิน ได้!" กุมารทองแสยะยิ้ม รอยยิ้มที่โหดเหี้ยม
"งั้น หนูจะกินพวกมันแทนข้าว!"
"เดี๋ยว!" มีนากรีดร้องในใจ! ‘[หยุดนะ! เจ้าหนู! อย่าทำ!]’
แต่สายเกินไปร่างเล็กๆ นั้น พุ่งทะลุผนังไม้ผุๆ ออกไป! ตรงไปยังยามสองคนที่กำลังยืนตัวสั่น โดยไม่รู้ตัวว่า ความตายที่แท้จริงกำลังจะมาเยือน!
****เจ้าอ้วนโกดแล้วนะ!! ***
