ไม่ได้เจ็บมากหรอกค่ะ
ณ บ้านเศรษฐสิริ
สองสามีภรรยายืนโอบกอดกันยิ้มอย่างมีความสุขมองดู รถยนต์คันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดก่อนที่ว่าที่ลูกเขยคนโปรดของพวกเขาจะลงมาเปิดประตูรถให้ว่าที่เจ้าสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ผมพาว่าที่เจ้าสาวมาส่งแล้วครับคุณลุงคุณป้า”
“ลุงป้าอะไรกันเรียกพ่อกับแม่ได้แล้วตาจอม”
“ครับคุณพ่อคุณแม่”
“มันต้องอย่างนี้สิ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
คเชนทร์ยิ้มแล้วเอ่ยถามออกมาทั้งที่รู้ทุกอย่างก่อนที่ทั้งสองคนจะมาถึงบ้านเสียด้วยซ้ำ
“ครับทุกอย่างเรียบร้อยดีขอบคุณมากนะครับคุณพ่อคุณแม่”
“คงเหนื่อยกันมาทั้งวันเลยน่ะสินี่ก็ค่ำแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะลูก”
“ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับสวัสดีครับ”
จอมทัพเอ่ยพูดขึ้นโดยไม่รีรอพร้อมกับยกมือสวัสดีว่าที่พ่อตาแม่ยายทั้งสองคนโดยไม่ลืมที่จะเหล่ตาไปมองว่าที่เจ้าสาวของเขาที่ทำหน้าเอื่อมระอากับท่าทางที่เขาแสดงออกมา
“เข้าบ้านกันเถอะลูกวันนี้เป็นยังไงบ้าง”
สิริวดีเอ่ยถามลูกสาวคนสวยของตัวเองด้วยรอยยิ้มขณะที่พากันเดินเข้าบ้านหลังจากที่จอมทัพกลับไปแล้ว
“ก็ไม่มีอะไรนี่ค่ะคุณแม่ ก็แค่ไปลองชุดแล้วก็ไปทานข้าวเฉยๆ”
อรฤดีตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาและท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษเลย
“แม่หมายความว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“แม่ก็รู้อยู่แล้วนี่คะอรขอ ขึ้นไปอาบน้ำดีกว่าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
พูดจบแล้วเธอก็เดินขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ได้หันกลับมามองพ่อและแม่ของเธออีกให้ตายเถอะเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้วต้องรับมือทั้งคนตัวโตทั้งพ่อแม่ของเธอจนไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว
“เห้อจริงๆ เลยลูกคนนี้โตมาแล้วทำไมถึงดื้อขนาดนี้นะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่คนเป็นแม่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนที่อดจะมีความสุขไม่ได้เมื่อคิดถึงภาพวันที่ลูกสาวของเธอจะได้สวมชุดแต่งงาน …
“ฮัลโหลจอมหายไปไหนมาทั้งวันคะปัดโทรไปหาคุณตั้งหลายสายคุณก็ไม่รับสายปัดเลย”
เสียงหวานปนน้อยใจพูดออดอ้อนออกมาเรียกร้องความสนใจจากคนรักของเธอ
“ผมขอโทษนะวันนี้ผมต้องทำธุระให้พ่อกับแม่ทั้งวันเลยพอว่างผมก็รีบโทรหาคุณนี่แหละผมคิดถึงคุณนะ”
จอมทัพพูดกรอกสายไปตามความรู้สึกของตัวเองเขาใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่เขาไม่ได้รักแถมยังต้องแสดงความรักกับเธอทั้งวันอีกต่างหากมันทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ข้างในไม่น้อยเลย
“ไม่รู้แหละปัดไม่ยอมนะคะพรุ่งนี้คุณต้องให้เวลาปัดหนึ่งวันโอเคไหมคะปัดคิดถึงคุณ ปัดอยากอยู่กับคุณ”
“ได้สิครับ พรุ่งนี้ปัดอยากทำอะไรอยากไปไหนบอกผมมาได้เลย”
“น่ารักที่สุดเลยค่ะงั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
เสียงใสวางสายไปด้วยรอยยิ้มทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่าเขาหายไปไหนมาทั้งวันเพียงแต่เธอเลือกที่จะเชื่อใจเขามากกว่าที่จะเก็บมาเป็นอารมณ์ให้ทะเลาะกันเพราะแค่นี้เธอก็เจ็บปวดมากพอแล้ว
“เห้ออออ…”
จอมทัพที่ถอนหายใจหนักๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนไปกับเตียงกว้างเขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้นอนคิดไปคิดมาแล้วก็เผลอยิ้มออกมาเสียอย่างนั้นเมื่อนึกถึงใบหน้าของว่าที่ภรรยาของเขาในชุดเข้าพิธีหมั้น..
.
.
.
“ที่นี่แหละอรอาจจะทำให้แกใจเย็นลงมาได้บ้าง”
กรองขวัญพาอรฤดีมาที่ยิมกับเธอด้วยในวันนี้เพราะเมื่อคืนอรฤดีโทรปรึกษาปัญหาชีวิตกับเธออยู่นานสองนานและด้วยความที่ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีทำให้เธอรู้ผ่านน้ำเสียงได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้อรฤดีกำลังเครียดหนักจนต้องหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความเครียดนั้น… ต้องเป็นที่นี่แหละแถมได้สุขภาพด้วย
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
อรฤดีพูดออกมาด้วยท่าทางมุ่งมั่นดีเลยสิ ได้มาออกกำลังกายแก้เครียดแบบนี้ต้องจัดหนักสักหน่อย แล้วสองสาวเพื่อนซี้ก็พากันไปเปลี่ยนชุด คุยกันไปหัวเราะไปตามประสา กรองขวัญเองก็หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาชวนอรฤดีคุยให้เธอได้มีเสียงหัวเราะ
“พลั่ก! ว้ายย/ ขอโทษครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ “
กรองขวัญรีบประคองอรฤดีในทันทีที่ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินมาชนเพื่อนของตัวเองจนเซลงไปกับพื้น
ซึ่งคนที่กำลังพิมพ์คุยงานผ่านโทรศัพท์ก็รีบช่วยจับประคองคนตัวเล็กด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้เจ็บมากหรอกค่ะ ชั้นไม่เป็นไร “
เมื่ออรฤดีเงิยหน้าขึ้นมาพูดและยืนเต็มความสูงต่อหน้าเขาก็ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกบางอย่างในหัวใจของตัวเองทันที ความสวย ความน่ารักของเธอมันทำให้เขาตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้วเต็มๆ
“เอ่อ ผมเดินไม่ดูเองต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ “
เขาพูดออกมาอีกครั้งด้วยแววตาที่จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าแทบไม่ละสายตา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ”
“เอางี้แล้วกันนะครับ ผมรู้สึกไม่ดีถ้างั้นให้ผมเลี้ยงข้าวคุณเพื่อเป็นการขอโทษแล้วกันนะครับ “
เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องเดินหน้าเท่านั้น เธอตรงสเปกเขาทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ได้ยังไง
“อย่าเลยค่ะ “
“อย่าปฏิเสธผมเลยครับ ผมเปรมยินดีที่ได้รู้จัก นี่นามบัตรผม”
ตืดดดด ตืดดดดด
ยังไม่ทันที่จะพูดต่อสายสำคัญก็โทรเข้ามาพอดีทำให้เขาต้องจำใจจบบทสนทนากับอรฤดีไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะออกไปรับสายสำคัญนั้น
“ยอมใจในความตื้อเลย”
กรองขวัญพูดออกมาเบาๆ ไม่รู้ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าเขาแปลกๆ แต่ก็นึกไม่ออก พร้อมๆ กับที่อรฤดีเองก็ใส่หัวแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ มีเรื่องให้ตื่นเต้นแต่เช้าเลยจริงๆ
แล้วสองเพื่อนสนิทก็พากันเข้าไปเดินวอร์มร่างกายก่อนเหมือนทุกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปเล่นเครื่องที่เหมาะกับความต้องการของตนเอง ยิมแห่งนี้เพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่นานจึงยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก ดีว่าอยู่ใกล้กับบ้านของกรองขวัญและส่วนใหญ่คนที่มาใช้บริการก็จะรู้จักที่นี่โดยการบอกแนะนำผ่านปากต่อปากเหมือนเจ้าของยิมเปิดเอาสังคมไม่ได้เปิดเอากำไรอะไรเพราะไม่ว่าจะมาใช้บริการกี่ครั้งก็นับคนได้ทุกทีแต่ก็ดีแบบนี้แหละไม่ต้องแย่งเครื่องกับใครถึงแม้ว่าจะใหญ่โตมีเครื่องให้เล่นครบครันก็เถอะ
“ได้เหงื่อแบบนี้แล้วสมองโล่งดีจัง มีแรงกลับไปสู้อีกอึดใจหนึ่งเผื่อว่าจะได้ไม่ต้องแต่ง”
อรฤดีลงจากเครื่องออกกำลังกายมายืนซับเหงื่อของตัวเองใกล้ๆ กับกรองขวัญที่กำลังวิ่งอยู่
“โอ้โหนี่ยังมีความหวังอยู่อีกเหรอถามจริง คุณพ่อคุณแม่เดินหน้าเต็มที่ขนาดนั้นไม่ต้องแต่งตอนไหนก่อน..”
“ไม่ให้กำลังใจกันเลยว่ะ..เออมีอะไรจะบอกทางฝั่งโน้นเขาก็ถูกบังคับแต่งเหมือนกันได้คุยกันแล้วเมื่อวันไปลองชุด”
“อ้าวงั้นก็ดีเลยดิในเมื่อเห็นพ้องต้องการแล้วก็ไม่ต้องแต่ง”
“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิเรื่องมันเลยเถิดไปไกลจนเกินจะจินตนาการได้แล้วตอนนี้..โอ๊ยพูดแล้วก็เครียดอีกละไปคาร์ดิโอสักหน่อยดีกว่า”
ตื๊ดๆ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปโทรศัพท์มือถือของอรฤดีก็มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาเมื่อเปิดดูแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ กับข้อความที่เห็นไม่น่าเปิดอ่านเลยจริงๆ
“มีอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“วันมะรืนนี้ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง”
“พรืดดด คิก คิก ไม่มีอะไรจะสุดไปกว่านี้แล้วอ่ะ ลองEnjoy Lifeดูไหมเผื่อจะช่วยได้นี่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดสุดๆ ไม่จบไม่สิ้นอ่ะ”
“กรี้ดดดด !!”
อรฤดีกำมือแน่นแล้วทำท่ากรี้ดแบบไม่มีเสียงออกมาจนหัวสั่นกับชีวิตของเธอในช่วงนี้กรองขวัญที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดขำไม่ได้สงสารก็สงสารตลกก็ตลกไม่รู้จะช่วยยังไงดีได้แต่ปลอบใจกันไปทีละเปาะๆ
