บทที่ 4-2 รับรางวัล
“ข้าน้อยขอบังอาจถาม เหตุใดคุณหนูจึงคิดเปิดร้านขายยา”
“ความทุกข์น้อย ความฝันก็น้อย เมื่อความทุกข์มาก ความฝันย่อมมากตาม”
“ไม่ทราบว่าความฝันของคุณหนูคือ...”
“ไม่มีอะไรซับซ้อน ข้าเพียงไม่อยากให้ใครต้องทุกข์ทรมานอย่างเช่นที่ข้าเคยเผชิญ คุณชายเกิดมาฐานะสูงส่ง ตระกูลร่ำรวยเงินทองและมีอิทธิพลย่อมไม่เข้าใจกระมัง”
“ข้าย่อมเข้าใจ”
“ท่านเข้าใจด้วยหรือ”
“เห็นแบบนี้ข้าน้อยก็ใช้ชีวิตในค่ายทหารมาก่อน”
“จริงหรือ”
“ข้าน้อยเกเร ถูกบิดาส่งตัวไปดัดสันดาน เพิ่งถูกเรียกตัวกลับ”
คุณชายเสเพล เอาแต่ดื่มสุราเมาหัวราน้ำ คำพูดคำจาใหญ่โต เอะอะก็อ้างบารมีคนนั้นคนนี้และหลงตัวเองเข้าขั้นหนักขนาดนี้ ย่อมเกิดมาไม่เคยเจอความลำบากยากจน เห็นคนจนยืนหนาวสั่นอยู่กลางหิมะก็คงคิดว่าแค่ทำตัวสั่นก็หายหนาวแล้ว พวกคนจนถึงสั่นกันไปหมด คนเช่นเขาถูกส่งตัวไปอยู่ในที่ที่ลำบากเพื่อดัดนิสัยอยู่นาน เพิ่งจะได้กลับเมืองหลวงมานี่เอง... ฟางจื่อหยาหมุนตะเกียบบนปลายนิ้วอย่างใช้ความคิด นึกสงสารบิดาของเขาที่ทุกอย่างสูญเปล่า เพราะคุณชายท่านนี้ยังนิสัยเสียอยู่ดี
“คุณชายรู้จักคนมากมายและเคยประจำการอยู่ที่ค่ายทหาร ไม่ทราบว่ารู้จักเป่ยอ๋อง องค์ชายจ้าวเทียนจื้อหรือไม่”
“มีใครบ้างไม่รู้จักท่านผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำ” เมื่อนางเอ่ยถึงตัวเอง เจ้าตัวก็คึกคักขึ้นมาทันที “คุณหนูเคยพบหรือ”
“ย่อมไม่เคย ข้ามิได้มีวาสนา”
“แล้วคุณหนูคิดเห็นประการใดเกี่ยวกับท่านผู้บัญชาการ” ทรงถามอย่างอารมณ์ดี มิได้อนาทรร้อนใจแม้แต่น้อยว่านางกำลังสะกิดใจสงสัย แต่เร่งเร้าอยากฟังคำวิจารณ์จากปากนาง “ข้าน้อยชื่นชมเป่ยอ๋องยิ่งนัก พระองค์รูปงามหาตัวจับได้ยากเชียวล่ะ”
“ข้าคิดว่าพระองค์เป็นคนน่าเบื่อ”
“น่าเบื่อ?”
“สูงส่ง ร่ำรวย ร่างกายสูงใหญ่เพราะฝึกการทหารตั้งแต่เล็ก และออกรบในฐานะผู้บัญชาการทัพด้วยตนเองหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็เป็นเขาที่ชนะ คนเราถ้าชนะตลอดก็น่าเบื่อแย่”
“แล้วอย่างไรอีก”
“ถึงจะอย่างนั้น แต่ก็นับว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการรบที่ร้ายกาจของแคว้นจ้าว ข้าคิดว่าการที่แคว้นเอี้ยนยังมิคิดบุกก็เป็นเพราะชื่อเสียงและผลงานของเป่ยอ๋องส่วนหนึ่ง ได้ยินว่าเขาหมกหมุ่นอยู่กับการศึกจนไม่สนใจสตรี นับว่าน่าเสียดาย”
“ทำไมเล่า เจ้าเองก็เสียดายพระองค์งั้นหรือ”
“สตรีคนอื่นบ่นเสียดาย แต่ข้ากลับอยากให้พระองค์ครองความเป็นโสดไปนานๆ”
“เพราะเหตุใด”
“สาวๆ ค่อนเมืองเพ้อถึงเป่ยอ๋องกันทั้งนั้น สินค้าเกี่ยวกับความงามขายดิบขายดี ผ้าไหมแพรพรรณ เครื่องประทินโฉม เครื่องหอม เครื่องประดับอัญมณีล้วนไม่พอขาย ยามนี้เป่ยอ๋องกลับเมืองหลวงได้หนึ่งเดือนแล้ว ไม่ช้าคงมีข่าวมงคล ข้าต้องรีบจัดหาสินค้ามาขายให้ทันกาล”
“คุณหนูมีข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคน ย่อมมิต้องกังวล ขายของใกล้หมดเมื่อไรให้รีบบอกข้าน้อย”
“ดียิ่ง หากเป่ยอ๋องอภิเษกจริงๆ จะต้องเป็นที่ฮือฮา หนุ่มสาวจะวิวาห์ตามกันอีกเยอะ ต่อไปข้าจะได้เตรียมจัดหาสินค้าสำหรับบำรุงครรภ์และของใช้สำหรับทารกมาเตรียมจำหน่าย”
“คุณหนูช่างมองการณ์ไกล” เขาฉีกยิ้ม เท้าแขนฟังอย่างตั้งใจ ชายชาตรีทุกคนได้รับคำสั่งสอนว่าต้องมีท่าทีเงียบขรึมและผึ่งผายตลอดเวลา แต่พระองค์มิได้นำพา อยากจะพูดก็พูด อยากจะมองก็มอง ดังนั้นเขาจึงสบตานางด้วยสายตาเป็นประกาย
“ข้ากำลังพูดถึงเป่ยอ๋อง เหตุใดคุณชายจึงยิ้มแย้มเช่นนั้น”
“ข้าน้อยยิ้มก็ผิดด้วยหรือ”
“อาหารที่สั่งมาแล้วขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ยกโจ๊กมาให้ บะหมี่หมู ผัดผักราดน้ำมันงา ซาลาเปานึ่งร้อนๆ ติ่มซำสารพัดอย่าง ข้าวสวยและกับข้าวอีกหลายอย่างจนเต็มโต๊ะ ฟางจื่อหยายังไม่ได้กินมื้อเช้า ไม่นานก็กินโจ๊กถึงก้นชาม จากนั้นก็ต่อด้วยข้าวอีกหนึ่งชามโตๆ จ้าวเทียนจื้อจึงได้สังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเวลากิน นางจะตั้งอกตั้งใจกินเหมือนเด็ก ถ้าอร่อยก็จะชมออกมาตรงๆ ถ้าไม่อร่อยนางก็จะหงุดหงิดนิดหน่อยแล้วกินเข้าไปจนหมด กินเกลี้ยงเกลาไม่มีเหลือเศษเลยสักนิด และพอกินอิ่มแล้วก็จะชอบดื่มชารสหวาน ไม่เหลือคราบนางพญาเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักจานอาหารตรงหน้าก็ว่างเปล่า
“คุณหนูเถากินเก่งกว่าที่ข้าน้อยคิด”
“ข้าชอบกิน”
“ไม่กลัวอ้วนรึ”
“กลัวอดมากกว่า”
“ก็จริง”
นางชอบกินเกี๊ยวกุ้งและปลาทอดผัดคื่นฉ่าย... จ้าวเทียนจื้อคิด มุมปากมีรอยยิ้มก่อนจะกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อ “อาหารมื้อนี้ ลงบัญชีข้า”
“ขอรับ”
“ไม่ต้อง ในเมื่อข้าเป็นเจ้ามือ ไยคุณชายจึงแย่งวิถีใจกว้างไปจากข้าเสียเล่า” ฟางจื่อหยาวางทองตำลึงขนาดเท่าเม็ดแตง เสี่ยวเอ้อจึงโบกไม้โบกมือไม่รับ
“คุณหนู ทองก้อนนี้เกินราคาอาหารไปหลายเท่า ทางร้านไม่มีเงินทอน”
“เก็บไว้เถอะ แต่ข้ามีงานจะไหว้วาน”
“เชิญคุณหนูสั่งมาได้”
“ปล่อยข่าวว่าข้าขายที่ดินต่างเมืองได้ราคาดี ดังนั้นจึงตั้งใจจะทุ่มเงินซื้อร้านของเถ้าแก่ฟ่งในราคาหนึ่งแสนตำลึง”
จ้าวเทียนจื้อลอบหัวเราะ คุณหนูร้านเถากงแสบจริงๆ เวลาที่ผู้คนต้องการติดต่อธุระ หรือหาที่นั่งเอ้อระเหย ฟังเสียงนกร้องเพลงแข่งกัน หรือตกลงเรื่องนั้นเรื่องนี้ พวกเขาก็จะมารวมตัวกันที่ร้านน้ำชา รวมไปถึงพวกพ่อสื่อแม่สื่อก็มานั่งคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หากปล่อยข่าวที่นี่ รับรองว่าภายในหนึ่งชั่วยามก็จะกระจายไปทั่วเมือง เถ้าแก่ฟ่งเป็นคนละโมบ เมื่อได้ยินข่าวลือก็ต้องบอกปฏิเสธผู้เสนอราคารายอื่นๆ ไปอย่างไร้เยื่อใยเพื่อรอคุณหนูเถาหอบเงินแสนมาหา แต่จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ไปหา ไม่เอ่ยถึง เถ้าแก่ฟ่งก็ต้องแก้เกี้ยวด้วยการกลับลำไปหาผู้เสนอราคาคนอื่นๆ
แต่ธรรมชาติของคนเรา ยามอยากได้อะไรราคาเท่าไรก็จะซื้อ แต่เมื่อทิ้งช่วงเวลาไปแล้วและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็ย่อมมีสติมองออกว่าราคาสามหมื่นตำลึงแพงเกินไป ส่วนคนที่จะซื้อก็ไม่กล้าซื้อเพราะนึกสงสัยว่าเหตุใดคุณหนูเถาจึงไม่ซื้อ ดังนั้นก็พากันไม่ซื้อไปด้วย สุดท้ายราคาก็ตกลงเรื่อยๆ ไปเองโดยที่นางไม่ต้องเหนื่อยแรง
“วันนี้นับว่าข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตา คุณหนูเลี้ยงข้าวข้าน้อยหนึ่งมื้อ ข้าน้อยจะกลับมาตอบแทนน้ำใจอย่างแน่นอน”
“ข้ามิได้หวังสิ่งตอบแทน คุณชายอย่าลำบากเลย” ความหมายของนางคือได้โปรดอย่ามาอีกเลย แต่เขานอกจากไม่สะทกสะท้าน ยังแสดงออกชัดเจนว่ากำลังทำตัวหูทวนลม พระองค์เดินไปส่งนางถึงหน้าร้านเถากง ประสานมือคำนับก่อนจะหมุนตัวจากไปพร้อมทิ้งท้าย
“ข้าน้อยจะมาอีกแน่นอน”
