บทที่ 4-1 รับรางวัล
ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีหญิงมากมายเสนอไมตรีแก่เขา พวกนางแต่ละคนล้วนอ่อนหวานเก่งกาจเชิงศิลป์ ยากนักที่จะมีผู้หญิงกล้าวิจารณ์งานบ้านงานเมือง จนกระทั่งนางปรากฏตัวตรงหน้า ไม่เพียงจะไม่หลงใหลรูปโฉมเปลือกนอกของเขา นางยังกล้าสบตาตำหนิและเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
นี่แหละ คือนางนี่แหละ ใช่เลย
จ้าวเทียนจื้อสะท้านไปทั้งตัว รีบจ้ำเท้าตามติด บนสะพานมีผู้คนหนาแน่น บางจังหวะนางก็ถูกชนจนเซ คนชนนอกจากจะไม่ขอโทษยังด่าใส่ แต่ไม่รู้ทำไมคนด่ากลับหุบปากเงียบไปเสียเฉยๆ แล้วเดินหลบไปเลย
ฟางจื่อหยาสะกิดใจสงสัย เมื่อเหลียวหันหลังมาพบเขาส่งยิ้มแป้น นางจึงยิ่งเร่งเท้าเดินหนี ก่อนจะสังเกตว่าทางที่ตนเดินนั้น ฝูงคนแหวกเป็นทางให้นางเดินสบายโดยไม่ต้องคอยเบี่ยงหลบไปหลบมา เมื่อเหลียวหน้ากลับอีกครั้ง คุณชายนิสัยเสียคนนั้นก็ยังยิ้มให้ประหนึ่งจะล้อเลียนนางว่าหันมามองข้าบ่อยๆ คิดอะไรเกินเลยกับข้าสินะ ฟางจื่อหยาจึงรีบเดิน หารู้ไม่ว่าคนที่เดินตามมาติดๆ นั้นแผ่ไอสังหาร ทำลายกลิ่นอายสุภาพสำรวมจนสิ้น ผู้คนต่างพากันแหวกทาง แต่ถึงแม้ว่าแววตาชองเขาจะสำแดงความน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง รอยยิ้มยียวนกลับปรากฏออกมา
“ข้าเดาได้แล้วว่าเจ้าจะขายอะไรที่นี่ เจ้าจะเปิดร้านขายยาและรักษาพยาบาลสินะ”
“เหตุใดคุณชายจึงคิดเช่นนั้น”
“เมื่อครู่มีคนยากจนมาซื้อเข็มและด้ายที่ร้านตัดเสื้อ เจ้าก็แถมสินค้าและเรียกลูกของพวกเขามาวัดตัวตัดเสื้อให้โดยไม่คิดราคา ตอนที่แวะร้านขายเครื่องไม้ไผ่ มีชายชราหลังโก่งคนหนึ่งเดินเข้ามาขายพวกไม้จิ้มฟัน หวีไม้สำหรับแปรงหนวดเครา ไม้แคะหูและไม้เกาหลังอยู่หน้าร้าน แต่ไม่มีใครซื้อของเลย เจ้ากลับสั่งซื้อทั้งหมดและมัดจำของล่วงหน้าโดยไม่ทำสัญญา ผิดวิสัยคนค้าขาย”
ฟางจื่อหยาทำหน้าเฉยเมย “คุณชายเป็นคนช่างสังเกต”
“ในเมื่อร้านค้าใต้อาณัติของเจ้าขายทุกสิ่งทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ไม้แปรรูป อิฐ สิ่งที่เจ้ายังไม่มีก็คือยารักษาโรค”
“ครอบครัวนั้นเป็นผู้อพยพจากภัยน้ำท่วม แม้จะหมดเนื้อหมดตัว แต่ขยันทำมาหากิน ส่วนชายชราเป็นอดีตทหารผ่านศึก รับใช้แผ่นดินจนพิกลพิการ ข้าเพียงมอบน้ำใจเล็กน้อย หาได้เป็นเรื่องแปลก”
“คุณหนูเถาเป็นผู้มีเมตตา... ผู้ที่เคยขาดแคลนย่อมรู้ซึ้งถึงความยากลำบาก หากข้าน้อยเดาไม่ผิด เจ้าเองก็อพยพมาจากต่างแคว้น... อะไรกัน โปรดอย่ามองข้าน้อยเช่นนั้น ข้าน้อยเดาเอาจากสำเนียงของเจ้า”
“ข้ามาจากแคว้นอัน”
“ข้ากลับคิดว่าเจ้ามาจากแคว้นฉู่ ได้ยินว่าคนแคว้นฉู่นิสัยเย่อหยิ่งไว้ตัวยิ่งนัก ทระนงตัวจนทำร้ายกันเองแล้วก็กอดคอกันล่มสลายไป”
เรียวขาเล็กๆ พลันหยุดกึก ชายกระโปรงพลิ้วสะบัดรอบข้อเท้า นางหยุดเช่นนี้แสดงว่าเขาเดาถูก เป่ยอ๋องย่อมไม่รอช้า รีบโวยวายเร่งทวงหนี้ทันที “เจ้าติดหนี้โจ๊กข้าน้อยหนึ่งชาม”
“ท่านช่างหน้าด้านนัก คุณหนูไม่อยากเสวนากับท่านแล้ว ไม่เข้าใจรึ!” สาวใช้ตัวเล็กขึงตาใส่ แต่ฟางจื่อหยาห้ามปรามไว้พลาคำนับขออภัยแทนสาวใช้
“ขออภัยที่สาวใช้ของข้าล่วงเกินท่านด้วย ข้ามีธุระ ไม่รบกวนเวลาของคุณชาย”
“พูดอ้อมไปอ้อมมา สรุปว่าเจ้าจะเบี้ยวโจ๊กของข้าน้อยสินะ ข้าน้อยหิวจะแย่อยู่แล้ว เมื่อครู่ข้าน้อยพูดจาไม่เข้าหู ทำคุณหนูขุ่นเคือง คุณหนูเถาได้โปรดอย่าถือสาลูกคนกลางนิสัยหยาบๆ เอาแต่เที่ยวเล่นอย่างข้าน้อยเลย ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว”
ฟางจื่อหยาถอนหายใจอีกครั้ง อยากจะสลัดคนผู้นี้แต่ก็สลัดไม่ได้เสียที
“เราจะพักที่ร้านน้ำชาสักครู่ เชิญคุณชายรับรางวัล”
“จะดีหรือ”
“คุณชายลังเลหรือ”
“กุลสตรีที่ดีจะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านและถูกสั่งห้ามมาที่ร้านน้ำชาเด็ดขาด แม้แต่หญิงชาวบ้านก็หลีกเลี่ยงที่จะเข้าร้านน้ำชา เฮ้อ ที่คุณหนูไม่มีแม่สื่อมาทาบทามก็เพราะเหตุนี้กระมัง”
“กุลสตรีที่ดี ใครเป็นผู้กำหนดหรือ”
ฟางจื่อหยาเดินเข้าร้านน้ำชาลี่ฟาง เป็นร้านน้ำชาเก่าแก่ใหญ่โตเปิดกิจการมาหลายสิบปี ที่นี่ขายน้ำชา ขนมและอาหารที่กินง่ายๆ อย่างบะหมี่หมูสับราคาไม่แพง ร้านแห่งนี้มีสองชั้น ชั้นล่างตั้งโต๊ะกับม้านั่งยาวสำหรับดื่มชา มีเวทีให้นักแสดงขับร้องเพลงหรือเล่านิทาน ด้านนอกร้านมีเพิงพักสวยงาม มีลูกค้านั่งเล่นหมากรุก ไม่ก็นั่งโยกศีรษะไปตามจังหวะเพลง ส่วนชั้นสองเป็นพื้นที่สำหรับลูกค้าที่มีเงินหนักและต้องการความเป็นส่วนตัว เวลาเดินขึ้นบันไดมาจะเจอภาพเทพเจ้าแห่งโชคลาภกับหิ้งบูชาแขวนอยู่
นางเลือกโต๊ะชั้นสอง มองออกไปเห็นทำเลสะพานทองคำได้ทั้งหมด และเห็นร้านค้าที่อยู่ตรงทำเลงามได้อย่างชัดเจน ตามฐานะแล้วเขาสูงส่งที่สุดควรนั่งหัวโต๊ะ แต่ครั้งนี้เขายินดียกให้เจ้ามือโดยไม่อิดออด ร้านน้ำชาชั้นสองมีลูกค้านั่งอยู่ก่อนแล้วหลายโต๊ะ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพวกขุนนางที่ทำงานในละแวกนี้ ไม่ก็พวกว่างไม่มีอะไรทำก็มานั่งพูดคุย ฟังเรื่องบ้านเมืองหรือซุบซิบสนุกๆ บางคนแข่งกันอวดขวดยานัตถุ์ ประชันพัดไม้ไผ่หรือนั่งโขกหมากรุกจีนกัน ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีก็มานั่งเล่นได้นานเป็นวันๆ
ขุนนางที่นั่งอยู่หลายคนมองพระองค์อย่างพิศวงระคนแตกตื่น เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มาดเข้มองอาจ รูปหล่อเป็นสง่าอยู่ที่โต๊ะ พวกเขาก็พากันรีบกุลีกุจอเข้ามาถวายคำนับ แต่จ้าวเทียนจื้อตบดาบข้างเอวอย่างแรง พลางร้องตวาดเสียงดังราวกับฟ้าผ่า
“ข้าคุณชายกู้นั่งอยู่ตรงนี้ พวกเจ้ากล้าเข้ามาล่วงเกินคุณหนูเถางั้นรึ! นี่มันเวลาใดแล้ว! ยังไม่รีบเข้าเวรทำงาน กลับมานั่งมั่วสุม จะต้องให้คุณชายอย่างข้าเชิญหรืออย่างไรถึงจะขยับตัวไปทำงานกันได้”
พวกขุนนางต่อให้เบาปัญญาแค่ไหนก็เข้าใจ มิกล้าเปิดเผยฐานะของพระองค์โดยพลการ
“อ่า...เอ้อ... ข้าน้อยขอคารวะคุณชายกู้” ขุนนางแซ่เถียนที่ว่าถือดีนักหนาก็ยังลนลาน รีบค้อมศีรษะให้ผู้มาใหม่อย่างนอบน้อมและระมัดระวังคำพูดจนตัวเกร็ง “ข...ข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว ขอตัวไปทำงานก่อนพ่ะ... ขอรับ”
“คุณชายรู้จักพวกเขาหรือ” นางไม่ละสายตาจากเขา สายตาแน่วแน่ของเขาจับใจคนได้ในชั่วขณะ แต่กลับกลบเกลื่อนไว้ด้วยท่าทีเย่อหยิ่งเสเพล ฟางจื่อหยาจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ลึกๆ แน่ใจว่าคนนี้เป็นประเภทเสือซ่อนเล็บ
“ขุนนางที่ได้ตำแหน่งเพราะเป็นเด็กฝากพวกนี้ ข้าน้อยย่อมต้องรู้จักดี อย่าลืมสิว่าข้าน้อยมีเส้นหนาเช่นกัน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าผิดใจด้วย หากเจ้าถูกผู้ใดรังแก ข้าน้อยจะไปเชือดมันให้เอง”
ฟางจื่อหยาถอนหายใจ ส่วนเสี่ยวเอ้อรู้จักนางจึงดูแลต้อนรับอย่างดี พูดเจื้อยแจ้วตัดพ้อเอาใจ
“คุณหนูเดินทางค้าขายหลายเดือน วันนี้กลับมาอุดหนุนคงจะล่ำซำกลับมาแน่ใช่ไหมขอรับ ดูท่าร้านเล็กๆ ของข้าน้อยคงจะขาดตกบกพร่อง คุณหนูจึงหนีไปดื่มน้ำชาร้านอื่น แต่วันนี้คุณหนูคิดถึงร้านข้าน้อย คุณหนูจึงเมตตาย้อนกลับมา ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก คราวนี้ดื่มน้ำชาของข้าน้อยให้ชื่นใจเยอะๆ เลยนะขอรับ คุณหนูไม่ทราบว่าวันนี้คุณหนูเถาจะสั่งอะไรดี”
“โจ๊...”
“เอามาทุกอย่าง อย่างละจาน เร็วหน่อยนะ ข้ากำลังหิวโซ”
“ได้เลยขอรับนายท่าน”
“??”
ฟางจื่อหยาหันหน้ามองคนมือเติบ ไม่มีเงินแต่สั่งราวกับราชา ร่างกำยำนั่งไขว่ห้าง ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่มีรัศมีแห่งชีวิตชีวาเปล่งประกาย เสี่ยวเอ้อร์มองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านผู้นี้เงินหนา จึงรีบค้อมคำนับแล้วลงไปแจ้งรายการอาหารให้พ่อครัว อย่างไรก็ตามในฐานะเจ้ามือ นางจะคัดค้านทัดทานก็กระไรอยู่ เพราะธรรมชาติคนค้าขายจะต้องใจกว้าง อย่าได้ตระหนี่ถี่เหนียว ฟางจื่อหยาสบตาคุณชายตัวดี ไม่นึกเลยว่าเขาจะสังเกตเห็นว่านางทำบุญให้คนที่กำลังลำบาก เขาจึงได้สวมรอยให้นางช่วยชุบเลี้ยงเช่นนี้
