บทที่ 2
“ใช่ อร่อย แซ่บมาก รสชาติยำร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ” ใช่ว่าจะมีเพียงเบญจาเท่านั้นที่ชอบ แสงจันทร์เองก็ชอบมากเช่นกัน ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะแวะไปกินจนกลายเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว
“เธอจะแต่งงานกับคุณหนึ่งเมื่อไหร่”
แค่กๆ
“เอ้า! ถามแค่นี้ถึงกับสำลักเลยเหรอ” แสงจันทร์หน้าตาเหลอหลาเพราะไม่คิดว่าคำถามง่ายๆ จะทำให้เพื่อนสำลักจนหน้าตาแดงก่ำไปหมดแล้ว
“ยังไม่เคยคิดเรื่องนั้น” เบญจาบอกปัดก่อนจะไอออกมาอีกครั้งสองครั้ง
“คิดได้แล้ว คนดีๆ แบบคุณหนึ่งเธอไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไปนะ”
“เรื่องแบบนี้มันตบมือข้างเดียวดังที่ไหน ต่อให้ฉันอยากแต่งงานแต่ถ้าคุณหนึ่งไม่อยากแต่งก็คงไปบังคับอะไรเขาไม่ได้” ที่เบญจาไม่กล้าคิดไกลเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับอังกูรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็คงไม่ผิด เพราะงานทำให้เธอกับเขาได้เจอกันจากนั้นชายหนุ่มก็เข้ามาทำความรู้จักหรืออีกอย่างก็คือจีบ
“แล้วเธอจะคบไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ”
“ถ้าในตอนนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้น อย่างที่ฉันเคยบอกไปนั่นแหละว่าทุกอย่างมันพึ่งเริ่มต้น ฉันขอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดผลจะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน”
“ฉันเอาใจช่วย” แสงจันทร์ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เพื่อนรักซึ่งนั่นทำให้เบญจาใจฟู
“แล้วเอยละ เมื่อไหร่จะเลิกโสด”
“ถ้าเจอผู้ชายเพอร์เฟคแบบคุณหนึ่งเมื่อไหร่ฉันก็คงจะเลิกโสดเมื่อนั้น แถมจะจับให้อยู่หมัดอีกด้วย” สีหน้าและแววตาของแสงจันทร์นั้นจริงจังเพราะเธอคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“ถ้างั้นฉันก็ขอให้เอยเจอผู้ชายแบบคุณหนึ่งเร็วๆ” เบญจาอวยพรเพื่อนสนิทโดยไม่ได้คิดอะไร ซึ่งแสงจันทร์ก็นั่งยิ้มกับพรที่ได้รับ ก่อนที่ความรักของเบญจาจะทำให้เธออิจฉาจนตาร้อนผ่าว ยิ่งเห็นเพื่อนรักมีความสุขจนล้นแบบนี้เธอก็อยากมีบ้าง อยากมีถึงขั้นอยากแย่งชิง
แต่ไม่กี่นาทีต่อมาแสงจันทร์ก็อารมณ์เสียอย่างหนัก เพราะจู่ๆ มีตารางบินด่วนแทรกเข้ามาทำให้เธอต้องกลับทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธออยากลาออกให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่ถ้าตกงานในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ที่สำคัญเธอยังไม่รวยเพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ความอดทนเข้าสู้
เมื่อส่งแสงจันทร์เสร็จเบญจาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อจะอาบน้ำพักผ่อน แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้ชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอก็ทำเอาเบญจายืนนิ่งพร้อมสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ จากนั้นจึงกดรับสาย
“ค่ะคุณปู่”
“วันหยุดนี้แวะมากินมื้อเที่ยงกับปู่หน่อยได้ไหม” แม้จะใช้คำว่าแวะแต่เอาเข้าจริงๆ ตอนนี้ระยะทางจากบ้านของทั้งคู่ก็อยู่ไกลกันสองร้อยกว่ากิโลเมตร เพราะเบญจาอยู่กรุงเทพฯ ในขณะที่นพพลใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่วังน้ำเขียว บ้านเกิด
“ได้ค่ะ ว่าแต่วันนี้ทำไมคุณปู่นอนดึกจังคะ” นั่นเพราะเวลานี้ในตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้วนั่นเอง
“มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย คิดไปคิดมาก็กลายเป็นว่านอนไม่หลับ นี่แหละคนแก่”
“คุณปู่ก็ ทำไมชอบพูดว่าตัวเองแก่อยู่เรื่อยเลยค่ะ”
“ก็ปู่แก่แล้วจริงๆ อีกไม่กี่ปีก็เจ็ดสิบแล้วนะ”
“ไม่แก่ค่ะ คุณปู่ต้องท่องไว้ว่าไม่แก่” นี่คือประโยคที่เบญจามักจะพูดกับปู่เสมอๆ ราวกับต้องการปลุกใจอีกฝ่ายให้ฮึกเหิม เวลานี้เธอเหลือญาติเพียงคนเดียวนั่นคือผู้เป็นปู่ ส่วนพ่อเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนขณะที่แม่ก็เลือกที่จะไปแต่งงานและใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ นานๆ ถึงจะติดต่อเธอสักครั้ง
“ไม่แก่ก็ไม่แก่”
“พรุ่งนี้คุณปู่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“จะมาทำให้ปู่กินเหรอ”
“ค่ะ ต่อให้หลิวจะทำอาหารไม่เก่งแต่ก็จะตั้งใจเต็มที่” ความตั้งใจของเบญจานั้นอีกฝ่ายสัมผัสมันได้ดีแต่ก็ต้องขัดเสียแต่ตอนนี้
“ไม่ดีกว่า ปู่กลัวไฟไหม้ครัวเหมือนครั้งก่อน”
“คุณปู่ก็” เบญจายิ้มเขินที่ถูกจับได้
“พรุ่งนี้เจอกัน”
“ค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“ไม่ต้องขับรถเร็วนัก ปู่รอได้”
“ค่ะ คุณปู่เข้านอนได้แล้วนะ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจพรุ่งนี้หลิวจะรับฟังเอง”
“อืม ขอบใจมาก” น้ำเสียงของนพพลเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูหลานสาวเพียงคนเดียว จากนั้นก็กดวางสายทว่าสุดท้ายคนแก่ก็ยังคงนอนไม่หลับง่ายๆ เพราะในหัวยังสลัดเรื่องสำคัญบางเรื่องออกไปไม่ได้นั่นเอง
เบญจาสะดุ้งตื่น ก่อนจะนอนคิดทบทวนความฝันที่พึ่งจบลง ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงฝันว่าเธอกำลังเป็นเจ้าสาวและอยู่ในงานแต่งงานสุดโรแมนติกของตัวเอง ในฝันมีคุณปู่ แสงจันทร์รวมถึงแขกอีกจำนวนหนึ่งทุกคนต่างยิ้มแย้มกับวันสุดพิเศษของเธอ
“หลิวครับ”
“ค่ะ”
เบญจาขานรับต่อคำเรียกนั้นก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง แต่ทำไมภาพใบหน้าเจ้าบ่าวมันถึงได้รางเลือนจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร
“หรือเพราะเรารู้สึกตัวก่อน ภาพหน้าคุณหนึ่งเลยไม่ค่อยชัด” เบญจาส่ายหน้าแรงๆ พร้อมกับนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียง เธอพยายามจะนอนต่อเพราะอยากฝันเห็นหน้าอังกูรในลุคเจ้าบ่าวให้ชัดกว่านี้ ทว่าสุดท้ายก็ทำไม่ได้
ยิ่งคิดถึงความฝันหัวใจของเธอก็ชัดจะเต้นไม่เป็นส่ำ แม้ความรักครั้งนี้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่อะไรๆ อาจไม่แน่นอน แต่เบญจาก็ทุ่มหัวใจลงไปอย่างไม่มีกั๊ก เธอเชื่อว่าความรักครั้งนี้เหมือนพรหมลิขิตเพราะทุกอย่างราบรื่นจนโลกทั้งใบเป็นสีชมพู
ด้วยนิสัย การศึกษา ฐานะหรือทุกอย่างที่เป็นอังกูรล้วนทำให้เบญจาประทับใจ เพราะแบบนั้นเธอจึงอดที่จะวาดฝันไปถึงเรื่องงานแต่งงาน เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีแอบคิดแอบจินตนาการกันบ้างแต่บางวันเบญจาก็ยอมรับว่าเพ้อหนักถึงขั้นนั่งดูรูปชุดเจ้าสาว ชอบรูปไหนเป็นพิเศษก็เซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือ รวมถึงธีมงานแต่งงานหรือแม้กระทั่งการ์ดและของชำร่วยก็ไม่เว้น
เบญจาตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อดึงสติจากนั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปหาปู่ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง อันที่จริงเมื่อก่อนเธออยู่บ้านกับปู่ แต่พอทำงานก็เน้นความสะดวกจึงย้ายออกไปอยู่คอนโดมิเนียมอยู่หลายปีกระทั่งถึงเวลาขยับขยายธุรกิจจึงกลับมาอยู่บ้านที่ต่อเติมและรีโนเวทใหม่เกือบทั้งหมด จากบ้านทรงเก่าๆ ก็สวยโมเดิร์นมากขึ้น
พอบ้านเสร็จแทนที่ปู่จะอยู่ด้วยกันท่านกลับขอไปอยู่วังน้ำเขียว เหตุผลเพราะอยากใช้ชีวิตในวัยเกษียณให้คุ้มค่า เบญจาใช้เวลาขับรถประมาณสี่โมงนิดๆ ก็มาถึงบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่ปลูกบนพื้นที่เกือบสามไร่ ซึ่งเมื่อก่อนที่นี่เป็นเพียงบ้านพักตากอากาศของครอบครัว ตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่มาเธอก็มักจะออกไปวิ่งเล่น หิวก็เดินเข้าไปขอน้ำดื่มได้ทุกบ้านไปทางไหนก็มีคนรู้จัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปรั้วของแต่ละบ้านก็สูงขึ้นจนทำให้ความสนิทสนมที่เคยมีค่อยๆ ห่างออกไปเช่นกัน
