บทที่ 5 ไม่รับอนุ
บทที่ 5 ไม่รับอนุ
ค่ำวันนั้น ฟ้าคลุมเงา เมฆฝนปกเมืองหลวงหลี่อินนั่งอยู่ริมหน้าต่างเรือนของตน สายลมจากนอกระเบียงพัดเอากลิ่นดอกเหมยปลิวผ่านเข้ามา กลิ่นเดียวกับวันที่นางแต่งเข้าสู่จวนนี้
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นหน้าประตูเรือน สาวใช้มองมาทางนางด้วยสีหน้าอึดอัด
“ท่านแม่ทัพ…มาขอเข้าเรือนเจ้าค่ะ”
หลี่อินวางถ้วยชา ดวงหน้าไร้รอยสะเทือน
“เชิญเขาเข้ามา” ถึงเวลาแล้วสินะ หลงอี้จง หลงอี้จง ชาตินี้ท่านจะให้ตำแหน่งใดกับซูเจิน
แม้เคยลั่นวาจา อย่าเหยียบย่างเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว แต่นางก็รู้ดี…บางคำพูดมีไว้เพื่อทดสอบใจ ไม่ใช่สร้างกำแพงตลอดชีวิต
หลงอี้จงก้าวเข้ามา ใบหน้าเคร่งขรึม เขามองไปรอบห้องอย่างเงียบงัน ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้านาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าคงคิดว่า…ข้าอุ้มคนรักเข้าจวนแล้วจะตั้งนางเป็นอนุ”
หลี่อินไม่ตอบ เพียงสบตาเขานิ่ง
“แต่เจ้าคิดผิด” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ “ข้ากับนางไม่ได้เกี่ยงข้องกันเช่นนั้น มันมีเบื้องหลังมากว่านั้น”
ความเงียบทอดยาว หลี่อินยกถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ พลางตอบเสียงเรียบ
“แต่ในวันนี้ ท่านพานางเข้ามาด้วยตนเอง”
“เพราะข้าไม่ต้องการให้นางต้องถูกซุบซิบ ถูกมองเป็นหญิงลอบเข้าจวนยามค่ำ” เขาตอบทันที “ข้าต้องดูแลนาง ไม่ช้าก็เร็วก้ต้องรับซูเจินเข้าจวน หากข้าไปรับนางเข้ามาเอง นางก็จะไม่ถูกคนติฉิ”
“ให้คนคิดว่าท่านเต็มใจรับนางเข้าจวน คนไม่นินทานาง แต่นินทาข้าที่เป็นภรรยาแทน แต่งได้เพียงวันเดียว สามีก็รับสตรีเข้าจวน” หลี่อินวางถ้วยชาลง
เขาเงียบงันไปเพียงครู่ ก่อนกล่าวเบา ๆ
“เจ้าอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งแต่เกิด ข่าวลือเรื่องจริง ไม่จริง ข้าเชื่อว่าเจ้ารับมือได้ แต่ซูเจินนางเติบโตนอกด่าน ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ข้าเกรงนางจะปรับตัวไม่ได้ รับไม่ไหว”
หลี่อินหัวเราะเบา ๆ ราวเสียงลมพัดต้องยอดไม้ หัวเราะในแบบที่ฟังแล้วเจ็บลึกกว่าเสียงร้องไห้
ซูเจินรับคำนินทาไม่ไหว ข้าต้องรับไหวหรือ
“ท่านอยากทำสิ่งได้ทำไปเถิด ข้อตกลงก่อนแต่งงานว่าเช่นไร ข้ายังยืนยันเช่นนั้น ข้าไม่คิดหึงหวงหรือหวาดกลัวว่านางจะมาอยู่ที่จวนแห่งนี้ด้วยตำแหน่งใด ตราบใดที่กุญแจคลังอยู่ในมือข้า เบี้ยหวัดตำแหน่งฮูหยินเอกหักจ่ายเข้ากระเป๋าข้าตรงเวลา ท่านแม่ทัพจะรับคุณหนูบ้านอื่นมาเพิ่มอีกสักคนสองคนข้าก็ไม่ติด อีกอย่างไม่ต้องหลบซ่อนหรือแอบไปเรือนตะวันออกให้บ่าวไพร่นินทา ท่านสามารถเดินเข้าออกได้อย่างเปิดเผย”
นางลุกขึ้น ก้าวผ่านเขาอย่างสง่างาม แต่ขณะที่เดินพ้นธรณีประตูไป…หลงอี้จงเอ่ยเรียกชื่อของนางเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างแทบไม่เคยมี
“อินเอ๋อร์…”
นางหยุดเท้า แต่ไม่หันมา
“เจ้าเคยบอกว่าจะแต่งงานกับข้า จะรอข้ากลับมา ข้าก็รีบกลับมา แม้ว่าสินสอดที่บิดาเจ้าจะเรียกเพิ่มจากทีี่ตกลงกันเอาไว้อีกสามเท่า ข้าก็ไม่ปริปากบ่น ข้านึกว่าเจ้าเพียงแงงอที่ข้ากลับมาก่อนวันแต่งเพียงไม่กี่วัน จึงตั้งเงื่อนไข จึงเย็นชา แต่นี้มันเกินไปแล้ว เจ้าเคยวิ่งตามข้า แต่ข้ากำลังสงสัย…ว่าแท้จริงแล้ว ข้าอาจเป็นฝ่ายถูกเจ้าลากให้เดินตามเสียเอง”
หลี่อินไม่ตอบในทันที เพียงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้าก็แค่เดินตามเส้นทางของตน มิได้ทำนอกข้อตกลงที่บิดาท่านและมารดาข้าได้วางไว้ สัญญาหมั้นหมายที่มีขึ้นจนถึงพิธีมงคล…ข้าก็แต่งแล้ว ท่านยังต้องการสิ่งใดจากข้าอีกหรือ”
นางเงยหน้าขึ้น สบตาเขาอย่างนิ่งสงบ
สินสอด…บิดานางนำไปใช้หนี้จนหมดสิ้น ก็ถือว่าชดใช้บุญคุณบิดาที่เลี้ยงดูนางในชาตินี้
หลี่อินไม่ได้คาดหวังว่าจะแต่งแล้วมีความสุข แต่ในเมื่อแต่งแล้ว…ก็จะไม่ขาดทุน นางกำหนดเบี้ยหวัดให้ตนเอง จะซื้อข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับที่อยากได้แน่นอนว่าเป็นเงินของเขา ในเมื่ออนาคตไม่แน่นอน และวันใดหลงอี้จงอาจยึดกุญแจคลังคืน
ช่วงเวลานี้ ที่เขายังไม่ครองรักกับซูเจินนางจะตักตวงทุกอย่างไว้เป็นทุนรอนสำหรับวันข้างหน้า
