บทที่ 4 การมาของแม่ดวงจันทร์กระจ่าง
บทที่ 4 การมาของแม่ดวงจันทร์กระจ่าง
ข่าวลือแพร่กระจายทั่วเมืองหลวงราวเพลิงลามใบไม้แห้ง
“หญิงงามผู้เป็นรักแท้ของแม่ทัพหลง กำลังเดินทางจากชายแดนเข้าเมืองหลวง!”
บางคนเรียกนางว่า นางฟ้าแห่งทุ่งหญ้า บางคนกล่าวว่านางคือ แม่นางบัวขาว สตรีที่แม่ทัพหลงเคยปกป้องไว้ด้วยชีวิตเมื่อหลายปีก่อน บางคนว่าเป็นธิดาของขุนนางชายแดน บ้างก็ว่าเป็นเพียงชาวบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าดูแคลน
เพราะชื่อของนาง…อยู่ในใจของแม่ทัพหลงเสมอมา
วันนั้น ฟ้าหลัวหม่น ไม่มีฝน แต่ลมกรรโชกแรง เกี้ยวสี่หามแล่นมาจอดรอที่หน้าประตูมือหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่ต่อแถวรอตรวจเอกสารผ่านด่านเข้าเมือง
หลี่อินนั่งดื่มชารับแขกอยู่ที่ศาลาด้านหน้า พอได้ยินเสียงฝีเท้าทหารยามเคลื่อนไหวผิดปกติ นางวางถ้วยชาอย่างนิ่งสงบ ก่อนเอ่ยกับสาวใช้ข้างกาย
“ไปตระเตรียมเรือนตะวันออกให้เรียบร้อย”
สาวใช้ขมวดคิ้ว “เรือนตะวันออกหรือเจ้าคะ…”
“เรือนที่ข้าจัดไว้ให้เจ้าของจวนแห่งนี้ตัวจริงในอนาคต”
หลี่อินตอบเรียบ ๆ แววตาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ถึงแม้ยังไม่มีพิธีแต่ง แต่เจ้าของหัวใจของแม่ทัพก็มาถึงจวนแล้วมิใช่หรือ”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา หลงอี้จงพานางมาเข้าจวนเอง หญิงสาวในชุดสีขาวนวล ยืนอยู่ใต้ต้นดอกเหมยที่เพิ่งเริ่มผลิกลีบ
นางยิ้มบาง ท่วงท่าสง่างาม มีความอ่อนโยนแบบที่ชวนให้คนหลงรักในคราแรกเห็น
หลี่อินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางก้าวไปเบื้องหน้า ค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ยินดีต้อนรับแม่นางซู…สู่จวนแม่ทัพเจ้าค่ะ”
ฮูหยินแม่ทัพเอ่ยต้อนรับแขกหน้าประตูอย่างสุภาพ ขณะหญิงสาวชุดสีอ่อนก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนหลัก
ซูเจินยิ้มบางให้หลี่อิน สีหน้าเจือความเขินอายและเก้อเขิน ทว่ายังฝืนทำใจกล้าเอ่ยคำ
“ขอบคุณคุณหนูหลี่…เอ่อ หรือข้าควรเรียกว่าพี่หญิงดีเจ้าคะ”
นางตั้งใจเลือกคำอย่างนุ่มนวล ทั้งต้องการแสดงความอ่อนน้อม และหวังให้หลี่อินยอมรับตนเข้าสู่จวนอย่างไมตรี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำตอบที่คล้ายอ้อมอย่างนิ่ม แต่ตีแรงเสียจนสะอึก
“เรียกข้าว่าฮูหยินเถอะนั่นคือฐานะของข้า ภรรยาเอกของท่านแม่ทัพหลงวางตัวให้ถูกแต่แรกจะเป็นการดีต่อทุกฝ่ายในภายหน้า”
หลี่อินกล่าวเรียบ ๆ ดวงหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ แววตาคู่นั้นเยือกเย็นดุจผืนน้ำในคืนไร้จันทร์ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่เหลือช่องให้ตีความเป็นอื่น
“ข้าไม่มีน้องสาว และไม่คิดจะมี ไม่ว่าจะในชาตินี้…หรือชาติที่แล้ว”
คำพูดไม่จำเป็นต้องตวาด ไม่จำเป็นต้องตอกกลับให้เจ็บ แต่กลับราวกับเข็มเล่มบางฝังลงกลางอกของซูเจินจนหน้าถอดสี นางเพียงแค่หวังจะได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากภรรยาเอก ไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะกล่าวตัดเยื่อใยเช่นนี้ตั้งแต่คำแรก
หลงอี้จงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังมิได้เอ่ยสิ่งใด
หลี่อินเพียงประสานมืออย่างงดงามก่อนกล่าวต่อ น้ำเสียงนุ่มนวล แต่อบอวลด้วยความเฉียบคม
“เรือนตะวันออก ห่างจากเรือนข้าราวห้าสิบก้าว ข้าได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างสะอาด สงบ งดงาม เหมาะสมกับแขกคนสำคัญของท่านแม่ทัพ เพราะหากไม่สำคัญท่านคงไม่ออกจากจวนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อออกไปยืนรอเวลาเปิดประตูเมือง”
น้ำเสียงของนางไม่มีวาจากร้าว ไม่มีถ้อยคำดูแคลน แต่ทุกคำกลับราวกับกระบี่ที่เคลือบด้วยดอกไม้ไม่อาจปฏิเสธว่านั่นคือการยอมรับ ซูเจินเข้ามาในจวนเป็นภรรยาอีกคนของสามีตน
เมื่อกล่าวจบ หลี่อินประสานมืออีกครั้ง ค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างสมฐานะ ก่อนจะหมุนกายจากไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่ครึ่งก้าว
เสียงฝีเท้าของนางเบา ราบเรียบ แต่หนักแน่นดุจจังหวะเคลื่อนของหมากสีดำในกระดานหมากล้อม
นางรู้ดีหมากเกมนี้กำลังเริ่มเขยื้อน แต่แทนที่จะเดินตามหมากของใครอื่น นางเลือกจะวางหมากในมุมใหม่…หมากที่คนอื่นไม่ทันตั้งตัว และครั้งนี้…ผู้ที่ต้องเป็นฝ่ายก้าวตาม จะไม่ใช่นางอีกต่อไป
ในเมื่อ ตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้ความรักระหว่างนางกับหลงอี้จงพังทลายลงทุกชาติภพได้ปรากฏตัวอีกครั้ง
หลี่อิน…หาได้คิดจะขัดขวาง หรือผลักไสไล่ส่งเหมือนที่สตรีผู้มีใจริษยามักกระทำ
นางจะไม่ยื้อแย่ง ไม่ดึงรั้ง จะไม่อ้อนวอนขอเศษเสี้ยวความรักจากบุรุษที่ไม่เคยเลือกตน ในทางกลับกันนางจะเป็นผู้สนับสนุนเขาทั้งสอง ไม่ยอมให้สิ่งใด…หรือผู้ใด มาขวางกั้นเส้นทางของพวกเขาอีก
หลี่อินมิได้คิดจะร้องขอให้ใครเปลี่ยนใจมาหานางและไม่โง่งมพอจะต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่ไม่เคยเป็นของตนเลยแม้แต่ชาติเดียว
อีกไม่นาน…หลงอี้จงก็จะวิ่งมาหานาง พร้อมคำแก้ตัวเดิม ๆ ว่าเขากับซูเจินมีเพียง บุญคุณ ที่ต้องตอบแทน ไม่มีเรื่องของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่สุดท้าย… บุญคุณ ที่เขาว่านั้น กลับจบลงบนเตียงร่วมกันอย่างมิอาจปฏิเสธ
เหอะ…น่าสมเพช ละครบทนี้ข้าเคยดูมาสองชาติแล้ว แม้จะเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนคำพูด หรือแต่งแต้มด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแค่ไหน ตอนจบก็ยังคงเหมือนเดิม…
