หมอหัตถ์เทวะ ของท่านอ๋องมัจจุราช

167.0K · จบแล้ว
ชาไทยเย็น
72
บท
70.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ชาติก่อนมีแต่คนชื่นชม ชาตินี้เจอแต่คนเกลียดชัง ท่านอ๋องผู้นั้นก็ช่างโหดเหี้ยม จนเกือบฆ่านางตาย แต่เพราะความเป็นหมอที่ต้องช่วยคน ทำให้เขาที่เคยเกลียด ดูถูก หันมาสนใจ เฝ้าตามติด และหึงหวงนางโดยไม่รู้ตัว "ฟ่านถิงเฟย" บุตรีคนเล็กของหมอหลวงอันดับหนึ่ง นางเป็นคนรักสวยรักงาม ไม่สนใจเล่าเรียน เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด แต่สุดท้ายกลับตายเพราะไข้ป่า ทำให้ "ซานถิง" แพทย์สนามยุคใหม่ เข้าไปสวมร่างของนางแทน "จวินซานเฉิน" เขาคือองค์ชาย 7 แห่งแคว้นฉิน "อ๋องมัจจุราช" ที่ผู้ใดได้ยิน ก็ต่างรู้สึกหวาดหวั่น ทุกสมรภูมิรบ ที่มีเขาเป็นแม่ทัพ ไม่เคยปราชัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า กำลังพูดอยู่กับใคร” “ท่านอ๋องเมืองหลิงโจว องค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเฉิน จวินซานเฉิน แล้วอย่างไร ท่านยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครงั้นหรือ ถึงได้ถามคนอื่น” “เจ้าควรกลับไปเมืองหลวงทันที ถ้าไม่อยากตายเพราะถูกข้าสั่งลงโทษโบย ให้ตายคาค่ายทหารแห่งนี้!” “เอะอะก็สั่งลงโทษ พวกชอบวางอำนาจ คิดว่าใหญ่มาจากไหน” จวินซานเฉินที่โกรธจัด เดินมาบีบรัดต้นคอระหงตรงหน้า แรงบีบแม้จะไม่ทำให้นางขาดอากาศหายใจ แต่ก็ทำให้ตกใจ “ฟ่านถิงเฟย เจ้าอย่าคิดว่ามีราชโองการแล้ว ข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้านะ ก็แค่แมลงตัวหนึ่งที่บินเข้ามาในค่าย หากกล้าทำความวุ่นวายละก็ ข้า…” นางใช้มือบีบรัดไปที่ข้อมือของอีกฝ่าย กระชับให้แน่นกว่าเดิมอย่างท้าทาย “เช่นนั้นก็ลงมือ ฆ่าข้าเสียเลยสิท่านอ๋อง ในเมื่อตอนนี้ ก็ไม่มีใครอยู่มิใช่หรือ” “อย่าได้ท้าทายความอดทนของข้า....” “ข้ารู้ว่าที่นี่ ท่านเป็นใหญ่ที่สุด มีอำนาจมากล้นจน…เฮือก!” “ลองพูดอีกคำสิ แล้วจะรู้ว่า ข้ากล้าฆ่าเจ้าหรือไม่” ฝากติดตามเรื่องราวการย้อนมิติ ของคุณหมอคนเก่งของเราด้วยนะคะ ว่าจะสามารถเอาชนะใจท่านอ๋อง ที่โหด ดุ อย่างอ่องมัจจุราชผู้นี้ ได้หรือไม่ มาดูความโบ้ของพระเอกย้อนยุคกันค่ะ ว่าจะขึ้นอย่างสิงห์ ครางอิ๋ง ๆ อย่างน้องหมาหรือเปล่า.... นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวรัก โรแมนติก ย้อนมิติ ไม่เน้นดราม่า ยังเป็นแนวสุขนิยม รักเดียวเช่นเดิม

นิยายจีนโบราณท่านอ๋องหมอนางเอกเก่งรักหวานๆข้ามมิติเกิดใหม่จีนโบราณโรแมนติกฟินๆ

ตอนที่ 1 มัจจุราชแห่งหลิงโจว

ค่ายทหารเมืองหลิงโจว / แคว้นเฉิน

“คุณหนูท่านตื่นสิเจ้าคะ อย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้.... คุณหนู”

เสียงเรียกของสาวใช้ ที่เริ่มสั่นเครือ เมื่อนางพยายามปลุกเรียกผู้เป็นนายของตัวเอง ในกระโจมค่ายทหาร ซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงหลายร้อยลี้

“คุณหนูของเจ้า อาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“เฮือก!”

สาวใช้ข้างกายสตรี ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หันมามองผู้ที่พึ่งก้าวเท้าเข้ามาในชุดแม่ทัพเต็มยศ เขาคือองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นฉิน ซึ่งมีสมญานามว่า “มัจจุราชแห่งหลิงโจว” ผู้เลื่องชื่อผู้นั้น

“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”

“อาการของนาง หนักหนามากเลยหรือ”

“นับว่าสาหัสพอสมควร นางเป็นไข้ป่าน่ะ”

“เช่นนั้นก็ส่งนางกลับเมืองหลวงเถอะ”

“แต่ว่า…”

“หากคืนนี้อาการยังไม่ดีขึ้น ก็ส่งนางกลับเมืองหลวงทันที ข้าไม่มีเวลามาดูแลคนป่วย ที่ไร้ประโยชน์ในเวลาเช่นนี้”

เสียงดุดันนั้น ดังพอที่จะทำให้หญิงสาว ซึ่งพึ่งจะได้สติตกใจ แต่นางกลับลืมตาไม่ได้ จำได้เพียงแค่เสียงที่ทรงอำนาจ เด็ดขาดและเย็นชา ที่พูดราวกับไร้ความเมตตา และไม่มีความเป็นห่วงใยน้ำเสียงเลยสักนิด และไม่นาน ความทรงจำบางอย่าง ก็ไหลเข้ามาในหัวของนาง

‘ข้ามีนามว่า “ฟ่านถิงเฟย” เป็นบุตรคนที่สาม ของหมอหลวงอันดับหนึ่งเมืองหลิงโจว ข้าเฝ้าติดตามองค์ชายเจ็ดมา หวังเพียงว่าเขาจะหันมามอง และเลือกข้าให้เป็นชายาของเขา แต่ไม่คิดเลยว่า นอกจากเขาจะไม่ไยดี ยังรังเกียจที่ข้าเป็นสตรีไม่เอาไหน คงเพราะข้างกายของเขา มีสตรีอีกคนอยู่กระมัง….’

“นี่มันอะไรกัน”

“คุณหนูฟื้นแล้ว! ท่านหมอเจ้าคะ”

“เอ่อ ไหนดูสิ ข้าขอตรวจหน่อย ให้ตายเถอะนี่มันเกิดอะไรขึ้น”

แม้แต่หมอประจำกองทัพ ก็ยังรู้สึกแปลกใจ เพราะจู่ ๆ ไข้ที่ขึ้นสูงก็พลันหายไป

“ชีพจรกลับมาเต้นเป็นปกติ คงที่และไข้ก็ยังลดลง ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าดูแลนางอยู่นี่ ข้าจะรีบไปทูลท่านอ๋อง”

“เจ้าค่ะท่านหมอ ขอบคุณเจ้าค่ะ”

เมื่อนางลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคย ความทรงจำของเจ้าของร่าง ทำให้นางรับรู้ว่า ตัวเองเมื่อชาติก่อนได้ตายลงไปแล้ว “ซางถิง” แพทย์สนามสาวคนเก่ง ที่มักจะอยู่ที่ค่ายอาสาตามชายแดน ทั้งชีวิตทุ่มเทกับการรักษาผู้คน ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการแพทย์ สุดท้ายก็ถูกผู้ก่อการร้ายที่เข้ามาปล้นค่ายฆ่าตาย

“น้ำ… หิวน้ำ”

“น้ำเจ้าค่ะคุณหนู”

เมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็เห็นสีหน้าซีดเผือด ขอบตาที่คล้ำของหญิงสาวอายุราว ๆ ไม่เกินสิบเจ็ดปี นั่งอยู่ข้าง ๆ และยังมีน้ำตา นางคงจะเป็น “เนี่ยฝู” สาวใช้ที่อยู่ข้างกายเจ้าของร่างกระมัง

“เจ้า…”

“คุณหนูต้องการอะไรอีกหรือไม่ ข้าจะไปเตรียมน้ำเช็ดตัวให้ท่าน”

“ยังไม่ต้อง ข้า… อยากได้กระจก”

“อะไรนะเจ้าคะ กระจกหรือ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้”

“ฟ่านถิงเฟย” สตรีที่รักสวยรักงาม ทั้งชีวิตนางไม่เคยสนใจร่ำเรียนหรือฝักใฝ่วิชาทางการแพทย์ ตามที่บรรพบุรุษสั่งสอนมาหลายชั่วคน อีกทั้งนางยังมุ่งมั่นเพียงแค่ อยากจะเป็นพระชายาขององค์ชายเจ็ด “จวินซานเฉิน” หรือฉินอ๋องในตอนนี้นั่นเอง

“มาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”

เมื่อนางเริ่มใช้กระจก ส่องดูใบหน้าของตัวเอง ก็ต้องตกใจทันที เพราะรูปร่างหน้าตาของฟ่านถิงเฟย ช่างงดงาม หมดจด ขาวสะอาด ฟันที่เรียงเป็นระเบียบ และผิวพรรณที่ผุดผ่องราวกับตุ๊กตาเคลือบ ทำเอาผู้ที่ถือกระจกอยู่นึกตกใจ

“เธอสวยอะไรปานนี้ สวยแบบไม่เสียชาติเกิดเลยให้ตายเถอะ”

“คุณหนูเจ้าคะ แม้ว่าตอนนี้ท่านพึ่งจะหายป่วย แต่ก็ยังงดงามอยู่เสมอใช่หรือไม่”

“ที่นี่คือ… ค่ายทหารชายแดนงั้นหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ หากคุณหนูอยากจะกลับจวนในตอนนี้ ท่านอ๋องตรัสว่า สามารถส่งท่านกลับไปได้เลยเจ้าค่ะ”

“จวนหรือ ท่านอ๋อง…”

นางสอบถามจนได้ความว่า ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ สั่งให้ท่านอ๋องนำกองทัพมาที่นี่ เพื่อปกป้องเมืองหน้าด่านอย่างหลิงโจว เพราะการรุกรานของแคว้นเซี่ย ดังนั้นนางจึงขอบิดา ให้ทูลต่อฝ่าบาท ขอติดตามกองทัพมาด้วย ฝ่าบาทพระราชทานราชโองการมา เพื่อให้โอกาสท่านอ๋องได้ตัดสินใจในการเลือกคู่ครอง ซึ่งแน่นอนว่า ท่านอ๋องผู้นี้ มิได้มีใจรักใคร่นางแม้แต่นิดเดียว

“เช่นนั้นแสดงว่าอ๋องผู้นั้น มีคนในใจแล้วงั้นหรือ”

“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้หัวใจมัจจุราช อย่างฉินอ๋องได้หรอกเจ้าค่ะ แม้แต่องครักษ์และที่ปรึกษาคนสนิท ยังมิกล้าเอ่ยถาม แต่บุตรีแม่ทัพแซ่หลี่ผู้นั้น ก็ยังอยู่ในกองทัพเช่นกัน”

“หลี่ชุนฮวา” บุตรสาวคนเล็ก ของแม่ทัพหลี่ซุ่น เป็นสตรีอีกคนที่ฝ่าบาทอนุญาตให้เข้ามาที่กองทัพ เพื่อให้ท่านอ๋องได้ตัดสินใจเลือก ระหว่างบุตรสาวของแม่ทัพหลี่ ซึ่งเชี่ยวชาญการรบ กับบุตสาวของหมอหลวง ผู้ใดกันแน่ที่เขาจะเลือก

กระโจมท่านอ๋อง

“เสด็จพ่อคงเกรงว่า ข้าจะทำศึกง่ายไปกระมัง ถึงได้ส่งตัวสตรีน่ารำคาญ มาอยู่ในค่ายนี้ด้วย”

“เอาน่าซานเฉิน บัญชาโอรสสวรรค์หาขัดขืนได้ไม่ ถึงอย่างไรพวกนางก็อยู่มาจนถึงตอนนี้แล้ว”

“แล้วเป็นอย่างไร เกือบจะตายแล้วไม่เห็นหรือ สตรีอ่อนแอไร้ค่า ไม่มีความรู้ซ้ำยังน่ารำคาญ ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเสด็จพ่อไปแล้วว่า ยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”

“หากเจ้าไม่ชอบคุณหนูฟ่าน ข้าก็พอเข้าใจได้ นางเป็นสตรีที่ใคร ๆ ต่างก็ส่ายหัว ทั้งเอาแต่ใจและไม่เอาความ แต่กับคุณหนูหลี่ ท่านก็ไม่คิดอะไรกับนางงั้นหรือ”

ท่านอ๋องนิ่งเงียบไป แม้ว่าหลี่ชุนฮวา จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แต่เขากลับมิได้รู้สึกชื่นชอบนางถึงเพียงนั้น แค่มองแล้วรู้สึกสบายตามากกว่าฟ่านถิงเฟยเท่านั้นเอง

“สกุลหลี่เป็นตระกูลแม่ทัพมาสามชั่วคน อีกอย่างนางเองก็ถูกเลี้ยงดูเหมือนกับบุรุษ การเดินทางออกศึกร่วมกับบิดาและพี่ชาย นางค่อนข้างได้เปรียบคุณหนูฟ่าน”

“ฟ่านถิงเฟยผู้นี้ เป็นสตรีที่ไร้สมอง ไม่มีความรู้ และยังเอาแต่แต่งตัว รักสวยรักงาม น่ารำคาญสายตาเป็นที่สุด หากว่าข้าอยากได้นกขมิ้นน้อยสักตัวให้เฝ้าตำหนัก ก็คงจะเลือกนาง”

“อะไรกัน เหตุใดท่านจึงประเมินนาง ต่ำต้อยถึงเพียงนั้น นางอาจจะ เอ่อ… อาจจะมีข้อดีซ่อนอยู่บ้างก็ได้ ใครจะรู้เล่า”

“หึ ข้อดีงั้นหรือ หากว่ามีจริง ๆ ก็นับว่านางเก่งมาก”

“เก่งหรือ นี่ท่านชมฟ่านถิงเฟยหรือนี่”

“ข้าหมายถึง นางซ่อนส่วนที่ดีของนางเก่งเกินไป จนหาไม่เจอต่างหาก เอาเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ ก็ส่งนางกลับไปก่อนเถิด ข้าไม่อยากรับผิดชอบ ชีวิตของสตรีไร้ประโยชน์เช่นนาง หากตายขึ้นมา ข้าไม่อยากจะไปที่จวนสกุลฟ่าน เพื่อเคารพศพนางอีก”

“ทำเช่นนั้นไม่ได้ ท่านเองก็รู้ว่า ฝ่าบาทมีราชโองการ หากจู่ ๆ ส่งนางกลับไปเช่นนี้ เกรงว่ากลับไปผู้ที่เดือดร้อน คงจะไม่พ้นตัวท่านเป็นแน่”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เช่นนั้นหากนางตายคาค่ายทหารเพราะไข้ป่า ก็ไม่เกี่ยวกับข้าด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”

“จะว่าแบบนั้น ก็ไม่ผิด แค่ส่งนางกลับไม่ได้”

“ดี! เช่นนั้นก็ให้นางทนอยู่ไป ไข้ป่านั่นร้ายแรง แม้แต่ทหารบางคนยังแทบจะทนไม่ไหว สตรีที่ไม่เอาไหนเช่นนาง ทั้งอ่อนแอและไร้สมอง คงทนได้อีกไม่นานนักหรอก”

“นี่ท่านคงไม่คิดที่จะ ปล่อยให้นางตายไปเฉย ๆ หรอกนะ”

ท่านอ๋องนิ่งไป พร้อมกับหันมามองหน้าที่ปรึกษา และกุนซือข้างกายอย่าง “หลิวจางหมิง” อีกครั้ง สายตายังคงเย็นชาและเด็ดขาด

“ข้าจะไม่ยอมให้มีอุปสรรคใด มาขัดขวางการทำศึกกับแคว้นเซี่ยในครั้งนี้ ในเมื่อนางรนหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็โทษข้าหาได้ไม่ หากนางตายขึ้นมาจริง ๆ ก็ส่งศพนางกลับเมืองหลวง แล้วกราบทูลเสด็จพ่อตามความเป็นจริงเถิด”