เป็นหมอที่ต้องรักษาตัวเอง
“เจ้ามีนามว่าอย่างไร แล้วมาจากที่ใดหรือ” อวิ๋นหลานเอ่ยถามขึ้นต่อ
“...”
ทว่าสิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบ พร้อมกับสายตาคู่คมที่จ้องมองมาทางตนนิ่ง ๆ อวิ๋นหลานที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีก็พอจะเข้าใจได้ว่าหญิงสาวเองก็คงไม่ไว้พวกตนเช่นเดียวกัน
“ข้าชื่ออวิ๋นหลาน ส่วนนี่หลานชายข้า อวิ๋นโม่ ข้ากับหลานและเพื่อนบ้านสองสามคนไปเจอเจ้านอนเจ็บอยู่ในป่าตรงตีนเขา เห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่เลยพาเจ้ากลับมาที่หมู่บ้านเสียก่อน”
อวิ๋นหลานแนะนำตัวเองและหลานชายพร้อมบอกที่มาที่ไปที่หลินจื่อเยว่ต้องมาอยู่ที่นี่ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“ขาของเจ้าหัก ลุงหานบ้านถัดไปเอาแผ่นไม้กระดานมาดามเอาไว้ เจ้าก็อย่างเพิ่งขยับเล่า ส่วนแผลภายนอกอื่น ๆ ก็มีชาวบ้านเอาหยูกยามาให้เจ้า แต่ข้าเองก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก เลยให้แค่ยาบรรเทาปวดและยาลดไข้แก่เจ้า ไม่กล้าให้ยาเจ้าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้น่ะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะป้าอวิ๋น ข้าผู้แซ่หลิน นามว่าจื่อเยว่ ท่านป้าเรียกข้าว่าเสี่ยวเยว่ก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อสัมผัสได้ว่าสองคนตรงหน้ามิใช่คนร้าย หลินจื่อเยว่ก็เอ่ยแนะนำตัวเองพร้อมเอ่ยขอบคุณออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางนอบน้อม ก่อนจะหันไปมองเรียวขาข้างซ้ายที่มีไม้กระดานสองแผ่นดามเอาไว้อยู่
“แล้วที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะท่านป้าอวิ๋น”
“หมู่บ้านเหลิ่งซาน เดิมทีหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านปิด มิได้ให้ผู้คนภายนอกเข้ามาหรอกนะ แต่เจ้าสบายใจได้ อยู่รักษาตัวเสียให้หาย แล้วค่อยคิดการเอาว่าจะทำเช่นไรต่อไป”
“เจ้าค่ะท่านป้า เอ่อ เมื่อครู่ท่านป้าบอกว่ามีชาวบ้านเอายามาให้ ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
เพราะเป็นหมอจึงรู้ดีว่าตอนนี้สภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร จึงอยากรักษาตัวให้หายเร็ว ๆ อวิ๋นหลานไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เดินไปหยิบถาดยาสมุนไพรมาให้
“รู้เรื่องยาด้วยหรือ”
“ข้าเป็นหมะ... หมายถึงข้าเคยเรียนมาเจ้าค่ะ”
หลินจื่อเยว่รับถาดยาสมุนไพรมาถือเอาไว้ ก่อนจะมองมันอย่างพินิจพิจารณา แม้จะไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต หากแต่นางก็นึกดึใจที่ความรู้เมื่อครั้งยังเป็นคุณหมอหลินจื่อเยว่ยังมีติดตัวอยู่ อีกทั้งความรู้ความทรงจำของร่างเดิมก็สามารถเติมเต็มความสามารถของนางได้อีกไม่น้อย
“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะว่าเจ้ามาจากที่ใด”
หลินจื่อเยว่เมื่อได้ยินคำถาม ก็เงยหน้ามองไปทางอวิ๋นหลาน เรียวปากอิ่มเม้มแน่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเลือกปิดบังความจริงเอาไว้
“คือข้า...นอกจากชื่อก็จำสิ่งใดไม่ได้เลยเจ้าค่ะ แต่คิดว่าอีกหน่อยก็คงค่อย ๆ จำได้”
“อย่างนั้นสินะ มิเป็นไร ช่วงที่ยังรักษาตัวอยู่ก็อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกัน หากต้องการสิ่งใดก็บอกแก่ข้า หรืออาโม่ได้เลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้า”
หลินจื่อเยว่มองไม้ที่ดามขาเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันมิได้ถูกหลักการเสียทีเดียว นางจึงค่อย ๆ ยื่นมือไปแกะผ้าที่รัดแผ่นไม้นั้นเอาไว้ แต่เพราะทำไม่ถนัด สุดท้ายจึงวานให้อวิ๋นโม่มาช่วย
“ใช่ วางขนาบแบบนั้นแหละ จากนั้นก็ใช้ผ้าในมือเจ้ารัดพันให้แน่น ๆ” หลินจื่อเยว่เอ่ยบอกวิธีให้อวิ๋นโม่ทำตามไปช้า ๆ
“รัดแน่นเช่นนี้จะดีหรือขอรับเยว่เจี่ย”
“ต้องรัดให้แน่นแบบนั้นแหละ แน่นอีกอาโม่ แน่นกว่านี้”
“แต่ท่านลุงหานบอกว่า หากรัดแน่นไปเลือดจะมิไหลไปเลี้ยงร่างกายนะขอรับ”
“แต่หากมิรัดให้แน่น แผ่นไม้ก็จะขยับ ขาก็จะขยับได้ กระดูกก็จะมิเชื่อมต่อกัน แบบนั้นนานวันเข้าก็จะมิสามารถกลับมาเดินได้อีก”
“แต่ว่า...”
“อาโม่ นี่มันร่างกายข้า ข้าย่อมรู้สิ เจ้าทำตามที่ข้าบอก มิต้องกังวลสิ่งใด”
และกว่าผู้ช่วยจำเป็นจะทำการรัดผ้าจนแน่นเสร็จ ก็ปาไปราว ๆ สองก้านธูป จากนั้นก็ไปหาไม้กลมยาวมาให้หลินจื่อเยว่ตามที่นางร้องขอ
เพราะหากจะให้นางนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เช่นนี้คงไม่ดีแน่ ดูจากความเป็นอยู่สองป้าหลานแซ่อวิ๋นแล้วคงมิได้มีเงินทองมากมาย หากต้องเจียดเงินเหล่านั้นมาให้นางอีก นางคงกลายเป็นภาระหนักเป็นแน่ เมื่อได้ท่อนไม้จากอวิ๋นโม่พร้อมกับมีดยาว หญิงสาวก็ลุกขึ้นนั่งก่อนจะสับไม้ให้ได้ระดับความสูงพอเหมาะกับร่างกายของนาง จากนั้นสับส่วนปลายข้างหนึ่งออกเป็นแง่งคล้ายไม้ง่ามในยุคที่นางจากมา
