จูบจริงๆ -Ep.22-
Ep.22
(Luck talk)
ผมไม่รู้จะบอกคนหัวรั้นอย่างพระพายยังไงดี ได้แต่คอยมองใบหน้าซีดๆ ของเธอเป็นระยะเพื่อจับสังเกตอาการ
"แค้ก...แค้ก!..." ดูสิ ยังไอไม่หายแต่ซ่าออกมารับอากาศเย็นๆ แบบนี้ ถ้าไข้ขึ้นผมจะปล่อยให้นอนช็อคตายไปเลย
ผมเตรียมของออกมารอไอ้ตาร์บนโต๊ะ เมื่อเช้ามีคนมาส่งผักส่งเนื้อหมู ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แค่หยิบของออกมาวาง ส่วนพระพายก็ทำอวดเก่งเอาผักไปล้าง ผมเห็นสะดุ้งเชียวตอนมือโดนน้ำเย็น อยากจะดูสภาพคนอวดเก่งจริงๆ ว่าจะมีแรงจนถึงไอ้ตาร์มาหรือเปล่า กลัวจะล้มไปซะก่อน
พอเตรียมของเสร็จผมก็ไปล้างมือจนสะอาด ผมล้างเสร็จพระพายก็นั่งลงล้างมือต่อจากผม ผมอยากจะเดินออกไปไกลๆ ไม่สนใจเธอ แต่เท้าผมมันดันก้าวไม่ออก ไม่รู้จะยืนรออะไร
(Phraphai talk)
ฉันนั่งยองๆ ล้างมือในกะละมัง ทุกๆ เช้าจะมีพี่ๆ ตำรวจไปตักน้ำมาใส่ไว้ในตุ่มเล็กๆ เอาไว้ล้างมือและล้างอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ ฉันค่อยๆ หันชำเลืองมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ไกล แต่ไม่ได้หันไปสบตาเขานะคะ พอรู้ว่าเหมือนเขากำลังมองอยู่ฉันก็รีบหันกลับมาแล้วรีบล้างมือต่อให้เสร็จ
"แค้ก..แค้ก.." ฉันลุกขึ้นยืนทันทีโดยลืมไปเลยว่าตัวเองลุกเร็วแบบนี้ไม่ได้ ภาพตรงหน้าเลยหมุนไปหมุนมา ทุกอย่างเริ่มมืดทั้งที่ตอนนี้ฟ้าสว่างโล่งโจ้ง การทรงตัวเริ่มไม่เป็นไปตามทฤษฎี นั่นก็เพราะว่าฉันกำลังจะเป็นลม
ตุบ!
"ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้พักผ่อน เชื่อฟังกันสักครั้งจะตายหรือไง" เสียงเรียบดุขึ้นข้างหู ก่อนที่ตัวฉันจะลอยขึ้นเพราะถูกผู้กองลักษณ์อุ้ม ใจฉันเต้นแรงเนื่องจากอาการเหนื่อยผิดปกติ มันเหมือนหายใจไม่ทัน ฉันพยายามควบคุมสติตัวเอง จนสามารถเห็นบรรยากาศรอบๆ กลับมาสว่างมีสีสันเฉกเช่นปกติ แล้วก็ได้เห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมอกคุณผู้กองน้ำแข็ง
"คะ..คือฉัน..."
"หน้ามืด...จะเป็นลม? ผมเตือนคุณแล้วไม่ใช่หรือไง คราวนี้กลับไปนอนจริงๆ ได้แล้วสินะ" ไม่พูดเปล่า แต่เขาอุ้มฉันกลับมาที่เต็นท์เลยค่ะ ฉันเองก็ได้แต่ทำหน้าสลดสงบเสงี่ยมไม่ได้เถียงอะไรออกไป
"รอไอ้ตาร์ทำกับข้าวเสร็จแล้วผมจะมาปลุกกินข้าวกินยา!..."
ตุบ!
ฉันนอนมองใบหน้าหล่อละมุนของอีตาผู้กองน้ำแข็งนิ่ง เพราะตอนนี้เขานอนทับอยู่บนตัวฉันค่ะ ใบหน้าก็ห่างกันแค่คืบเดียว เป็นเพราะเมื่อครู่เขาอุ้มฉันเข้ามาในเต็นท์ ตอนคุกเข่าวางฉันลงบนที่นอนเลยเสียหลักล้มลงมาทั้งคู่ เสียงใจฉันที่เต้นระส่ำระส่ายดังออกมาจนตัวฉันเองเลิ่กลั่กทำหน้าไม่ถูก มันไม่ได้เต้นรัวเพราะอาการหน้ามืด แต่มันเต้นรัวเพราะคนที่นอนทับร่างกายฉันอยู่ตอนนี้ต่างหาก
"เอ่อ คือฉัน...อุ๊บ!" ฉันเบิกตาโพลงเมื่อผู้กองลักษณ์ก้มมาจูบปากฉัน คราวนี้ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันแนบแน่น แรงขบเม้มจากเรียวปากหนาทำขนในกายฉันลุกซู่ ถ้าพวกคุณแดนไม่ยืนยันว่าเขาไม่เคยมีแฟนฉันก็คงไม่เชื่อ ตวัดลิ้นหลอกล่อเรียวลิ้นของฉันเก่งขนาดนี้ก็นึกว่าผู้เชี่ยวชาญมาเองเลยค่ะ ฉันเองก็ได้แต่กำคอเสื้อเขาไว้แน่น ทั้งตื่นเต้นแล้วก็กลัว ก็นี่มันจูบแรกของฉันนี่คะ!! โดนสัมผัสจาบจ้วงขนาดนี้ใครจะตั้งตัวทัน แถมจูบของเขายังชวนฉันเคลิ้มจนต้องหลับตาลงปล่อยกายปล่อยใจไปกับสถานการณ์ชวนฝันหวานนี้อีก เขาคิดอะไรอยู่ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าสิ่งที่ฉันคิดอยู่มันลึกเสียจนดึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้แล้ว
เราสองคนจูบกันประมาณนาทีกว่าๆ เห็นจะได้ค่ะ แล้วจู่ๆ อีตาผู้กองน้ำแข็งก็ถอนจูบออกไปกระทันหัน เขามองหน้าฉันคล้ายคนกำลังสับสนร่วมด้วยกับการหายใจเข้าออกอย่างเหนื่อยหอบ พอเหมือนว่าจะได้สติร่างสูงก็ลุกออกจากตัวฉัน จากนั้นเขาก็ออกจากเต็นท์ของฉันไปเลย ทิ้งให้ฉันนอนกัดปากระลึกถึงบทจูบแสนดูดดื่มเมื่อครู่นี้อยู่คนเดียว นี่ฉัน...มีจูบแรกกับเขาแล้วเหรอ? จูบที่เป็นจูบจริงๆ ไม่ใช่จูบจากการผายปอดหรือว่าจูบช่วยชีวิตใต้น้ำ เป็นจูบที่ไม่มีข้ออ้างแต่อาจมีเหตุผล แล้วเหตุผลของผู้กองลักษณ์คืออะไรกันแน่
(Luck talk)
ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเต็นท์ตัวเองก่อนจะเอามือจับริมฝีปาก ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ครับ ที่ยอมทำตามคำเรียกร้องของหัวใจจนไม่สามารถหักห้ามหรือควบคุมตัวเองได้เลย ผมเคยสัมผัสริมฝีปากบางคู่นั้นมาสองครั้งแล้วก็จริง แต่ครั้งนี้มันต่างจากสองครั้งนั้นมาก ชีวิตผมต่อจากนี้อาจไม่สงบสุขเหมือนเดิม เพราะพระพายเริ่มมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมหลายอย่าง สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ตอนนี้มันดันเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
หลังจากไอ้ตาร์กลับมาทำอาหารกลางวัน ผมก็ไปช่วยมันบ้างนิดๆ หน่อยๆ ครับ ปกติผมถนัดแต่ทำกินคนเดียวหรือแค่สองสามคนเท่านั้น ถ้าทำให้กินเป็นหมู่คณะแบบนี้ไม่แน่ใจว่ารสชาติมันจะออกมาแบบไหน
บทสรุปของมื้อกลางวันคือข้าวผัดหมูที่หอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งค่าย ทุกคนต่อแถวตักอาหารแล้วไปนั่งกินกันอย่างอร่อย แต่ผมว่าหิวกันซะมากกว่า ฝึกมาเหนื่อยๆ ร่างกายคงต้องการสารอาหารและพลังงานที่สูญเสียไป
"ผู้กองครับ นี่ข้าวกับยาของคุณพระพายครับ" ผมมองข้าวและยาในมือไอ้แดน ก่อนจะเหลือบขึ้นไปมองหน้ามัน ซึ่งมันก็เลิกคิ้วตอบผมกลับมาประมาณว่า ทำไมเหรอครับ? ซึ่งถ้าผมไม่ไปก่อเรื่องน่าอายก่อนหน้านี้ผมคงจะไม่ลังเลที่จะไปส่งข้าวส่งยาให้เธอ แต่ถ้าผมไม่ไปมันก็คงจะดูแปลกๆ สำหรับไอ้พวกนี้ที่คอยจ้องเหมือนลุ้นหวยว่าเมื่อไหร่ผมจะรับข้าวกับยาไป
"อืม" และแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้ จำต้องรับข้าวและยาในมือไอ้แดนมา ไอ้ตาร์ ไอ้คินพากันถอนหายใจเหมือนรู้สึกโล่งกับอะไรสักอย่าง ทำไมเหรอครับ นี่ถ้าผมปฏิเสธจริงๆ พวกมันต้องรีบเข้ามาถามหาเหตุผลแน่ และพวกมันจะไม่ยอมจบง่ายๆ ถ้าไม่ได้คำตอบที่พวกมันต้องการ
"คุณพระพาย" มาถึงผมก็หยั่งเชิงโดยการเรียกเธออยู่หน้าเต็นท์ก่อน แต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา ผมเลยต้องรูดซิบเปิดเต็นท์ดู แล้วก็เห็นว่าเธอนั้นหลับอยู่ มองจากใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นแล้ว พระพายน่าจะยังไม่หายดี
ผมคลานเข้าไปปลุกเธอในที่นอน จริงๆ เต็นท์มันไม่ได้เล็กมากเท่าไหร่ แต่เพราะผมสูงเลยต้องเดินก้ม และข้างในมันก็สะอาดมากจนผมไม่กล้าเอาเท้าเหยียบเลย อย่างว่าแหละครับ เต็นท์ผมมีแต่ผู้ชาย ก็รกๆ ไปตามประสานั่นแหละ
"คุณพระพาย" ผมลองเรียกเธออีกครั้ง คราวนี้เธอปรือตาขึ้นมามองผม เราจ้องกันอยู่ประมาณห้าวิได้ จากนั้นก็ต่างคนต่างหลบตากันทำตัวไม่ถูก
"มะ..มีอะไรเหรอคะ?"
"ผมเอาข้าวกับยามาให้น่ะ" ผมยกจานข้าวผัดยื่นให้พร้อมกับยา พระพายเองก็ลุกขึ้นมาพอดี นี่ผมเป็นคนเสียความมั่นใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เลิ่กลั่กจนไม่เป็นตัวเอง จนผมรู้สึกอึดอัดไปหมด
"ขอบคุณค่ะ"
"กินแล้วก็นอนพักผ่อน หายเร็วๆ มันดีที่สุด อยู่บนเกาะอากาศเย็นๆ แบบนี้ไม่ดีนักหรอก" พูดจบผมก็ลุกออกมา แอบขมวดคิ้วบ่นตัวเองในใจที่ไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธออีกแล้ว ตอนพูดออกไปผมแทบไม่รู้ตัวเลยจริงๆ
"เอ่อคุณลักษณ์คะ"
"คืนนี้เรามีกินเลี้ยงเล็กๆ กันรอบกองไฟ นอนเก็บแรงไว้เยอะๆ ล่ะ" ผมไม่ได้หันไปมองใบหน้าซีดเซียวตรงๆ แค่หยุดพูดเอียงหน้าไปมองเธอเล็กน้อยไม่ถึงกับเห็นว่าพระพายมีสีหน้ายังไงตอนเรียกชื่อผม น้ำเสียงเธอเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมฟัง เพราะผมต้องการไปเคลียร์กับความรู้สึกตัวเองก่อน ไม่งั้นผมจะต้องมาทำหน้าอึดอัดใส่เธอแบบเมื่อกี๊อีก
