บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 พระชายาเอกแห่งเฉิงอ๋อง

“กรี๊ดดดดดดดด......”

เสียงของหญิงสาวใบหน้าผอมแห้งและซีดเซียว จนดูคล้ายกับเป็นร่างไร้วิญญาณก็ไม่ปาน จู่ ๆ ร่างนั้นก็ผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“ไป ไป ไปเรียก ไปตามท่านอ๋องมาพระชายาฟื้นแล้ว”

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตกใจจนพูดไม่เป็นคำ เมื่ออยู่ ๆ เจ้านายที่นอนเป็นผักไม่ได้สติมาเป็นเดือน ๆ ก็ลุกขึ้นมากรีดร้อง นางรีบหันไปหาชายที่แต่งตัวเป็นองครักษ์ซึ่งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเช่นกัน หลังฟังคำบอกของสาวใช้เขาเองก็รีบวิ่งออกไปยังตำหนักที่อยู่ด้านหน้าในทันที ด้วยความเร็วเต็มกำลังที่เขาจะสามารถทำได้ ไม่ทันได้พักหายใจเมื่อไปถึงยังประตูที่หมายเขาก็ส่งเสียงออกไป

“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระชายาฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แฮก ๆ”

เสียงหอบเหนื่อยขององครักษ์ดังขึ้นที่หน้าห้องอักษร ที่เจ้าของตำหนักนี้ใช้ทำงานอยู่เป็นประจำ

ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋องลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ และกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาและมุ่งตรงไปยังเรือนหลังของหญิงที่กรีดร้องเมื่อครู่

เมื่อมาถึงห้องที่เกิดเหตุเขาเร่งเปิดประตูห้องนอนเข้าไปโดยไม่รีรอ สิ่งที่ได้เห็นคือพระชายาของเขาที่หลับใหลไม่ได้สติมาแรมเดือน บัดนี้ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง แม้หน้าตานางจะซีดเซียวไปบ้างแต่นางก็ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ

“หรันเอ๋อร์เจ้าฟื้นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

เขารีบเข้าไปจับมือนางไว้และนั่งลงข้าง ๆ ตัวนาง มองเห็นสายตาของนางยังคงเลื่อนลอย แต่เมื่อหญิงที่ถูกเรียกหันมามองคนตรงหน้า ซึ่งก็คือตัวเขาเองให้ชัดเจน นางกลับผงะตกใจ ดวงตานางสั่นไหว นางดูสับสนตกใจหวาดกลัว ปรากฏความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด

“หรันเอ๋อร์เป็นอะไรไป เจ้าจำข้าได้หรือไม่”

เขาถามนางอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับกระชับมือนางให้แน่นขึ้นอีก

“เฉิงอ๋องหรือ” เสียงนางแหบแห้งแล้วฟังดูเหมือนจะเจ็บปวดตอนที่เอ่ยออกมา นั่นอาจจะเป็นเพราะนางไม่ได้พูดมานาน

“ใช่ข้าเองหรันเอ๋อร์จำตนเองได้หรือไม่”

แม้เขาจะแปลกใจในคำเรียกขานของนางแต่ก็มิได้คิดอันใด เพราะนางเพิ่งตื่นจากการหมดสติไปนานย่อมต้องสับสนอยู่บ้าง

“หรันเอ๋อร์ …อู๋เสี่ยวหรัน” นางยังคงพูดเบา ๆ คล้ายกับรำพึงรำพันเสียมากกว่า

“ใช่นั่นคือชื่อของเจ้า เจ้านอนหลับมาแรมเดือนเพิ่งตื่นขึ้นมา ก็คงสับสนอยู่บ้างรอท่านหมอสักครู่เถิด ข้าให้คนไปตามแล้ว”

เขาลูบหัวนางอย่างอ่อนโยนและยังรับผ้าชุบน้ำอุ่นจากสาวใช้มาเช็ดให้นางด้วยตัวเอง

“ทูลท่านอ๋องพระชายาท่านหมอจงมาแล้วเพคะ” เสียงสาวใช้หน้าห้องดังขึ้น

“ให้เข้ามา” เฉิงอ๋องบอก

เมื่อเห็นว่าหมอที่ตนไว้ใจมาถึงแล้ว เขาก็ขยับไปด้านข้างให้หมอจง หมอประจำค่ายทหารของเขาเข้ามา

ท่าทางของหมอจงนั้นรีบเร่งเดินทางมาด้วยอาการเหนื่อยหอบหายใจถี่ ไม่รอช้าหมอจงก็วางผ้าบางลงบนข้อมือของพระชายาเอกเพื่อจับชีพจร

ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าหมอจงผู้นี้มีอายุพอ ๆ กันกับเฉิงอ๋องเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางผิวขาวซีดดูไม่ค่อยแข็งแรงนักแต่กลับเป็นคนที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ

“ทูลท่านอ๋อง ทูลพระชายา บัดนี้ชีพจรของพระชายามั่นคงขึ้นแล้ว จากนี้กินอาหารบำรุงและยาอีกไม่กี่เทียบก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เข้าใจแล้วออกไปเตรียมยาเถิด” ยังคงเป็นเฉิงอ๋องที่ตอบเขา

“หรันเอ๋อร์รออยู่ที่นี่สักครู่ข้าจะไปส่งท่านหมอ”

เฉิงอ๋องหันมาบอกพระชายาเอกที่ยังอยู่ในอาการมึนงงอย่างอ่อนโยน สุดท้ายเขาก็ได้เห็นว่านางมีปฏิกิริยาตอบสนอง แม้จะเป็นการพยักหน้าน้อย ๆ ก็ตาม เห็นดังนั้นเขาจึงหันหลังและเดินออกไปด้านนอก

หลังส่งหมอจงออกไปแล้วและไล่คนออกไปทั้งหมดเฉิงอ๋องก็เข้ามาหานางอีกครั้ง เห็นนางเริ่มหมดแรงแล้วจึงประคองนางให้นอนลง เขาเองก็นั่งลงข้าง ๆ เตียงนางเพื่อเฝ้ามองให้นางหลับไปเสียก่อน ระหว่างที่รอให้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาของตนหลับสนิท เขาก็อดที่จะนึกถึงวันวานไม่ได้

‘อู๋เสี่ยวหรัน’ พระชายาเอกแห่งเฉิงอ๋อง หรือที่ใคร ๆ มักเรียกว่าเฉิงอ๋องเฟย เดิมนางเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องของเขา ที่ท่านแม่ของพวกเขานำมาพบกันบ่อย ๆ ตั้งแต่วัยเยาว์จึงเกิดเป็นความผูกพันกันนับแต่นั้นมา

สำหรับเขา ‘โม่เสวี่ยเยวียน’ นางคือน้องสาวคนหนึ่งที่เขาจะต้องดูแลปกป้องนางให้ดีตามคำสั่งเสียของมารดา และรับนางเป็นภรรยาเอกด้วยเพราะคำสั่งเสียหาใช่ความรักความเสน่หาแบบชายหญิงไม่

คนภายนอกอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นคู่รักที่หวานชื่นกัน แต่ในความจริงแล้วพวกเขาทั้งสองแต่งงานเพื่อปกป้องกันและกันเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่วายมีคนต้องการกำจัดนางให้พ้นทางอยู่ดี นางอ่อนแอเพียงนี้หากเขาไม่ปกป้องนางไว้ชีวิตนางคงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้แน่นอน

หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาเอาแต่ทุกอย่างให้นางหมด จนตัวของอู๋เสี่ยวหรันเองไม่รู้วิธีที่จะเอาตัวรอดจากเล่ห์เหลี่ยมของคน จนนางต้องมาตกอยู่สภาพที่น่าเวทนานี้ ซึ่งที่นางเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาด้วยเช่นกัน หลังจากนี้หากนางสามารถรอดมาได้

เขาเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องเพิ่มความใส่ใจมากกว่านี้เสียแล้ว คงไม่สามารถปล่อยให้บ่าวไพร่ดูแลนางดังเช่นที่ผ่านมาได้อีกต่อไป นี่คงพอจะทำให้เขาสู้หน้าท่านแม่และท่านน้า เมื่อถึงยามที่เขาต้องพบหน้าพวกท่านที่ปรโลกได้บ้าง

หลังจากที่ปล่อยใจให้คิดอ่านออกไปไกล เขาก็มองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอีกครั้ง ฟังลมหายใจนางเข้าและออกอย่างสม่ำเสมอ เขาก็ลุกออกไปจากห้องนอนนาง

ทางด้าน ‘อู๋เสี่ยวหรัน’ พระชายาเอกร่างกายอ่อนแอ ที่ใคร ๆ ล้วนเห็นว่านางนอนหลับลงไปอย่างว่าง่าย แต่แท้จริงแล้วนางไม่ได้หลับเลยสักนิด เพราะจิตยังสับสนงุนงงอยู่ หลังจากเฉิงอ๋องลุกออกไป นางก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งเหม่อมองไปยังผ้าม่านขอบเตียง เสื้อผ้าการตกแต่ง สิ่งของที่ประดับประดาอยู่ในห้องนอน

นี่ไม่ใช่ความฝันแน่นอนที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของนางและเฉิงอ๋องไม่มีทางทำดีกับนางเช่นนี้ นางใช้นิ้วที่แสนอ่อนแรงบีบที่เนื้อตนก็พบว่ามันมีความรู้สึก

ดวงตา ! ดวงตายังมองเห็นอย่างชัดเจน นางพลันตกใจและลุกขึ้นนั่งอีกครั้งใช้มือทั้งสองข้างจับมาที่ใบหน้าและดวงตาของตนเอง

‘ข้ายังมีดวงตา ตาข้าไม่ได้บอด ข้ามองเห็นแล้ว’ นางยิ้มออกมาอย่างบ้าคลั่ง หากไม่กลัวว่าจะมีคนเข้ามานางคงหัวเราะออกมาแล้ว เพราะสิ่งสุดท้ายก่อนตายที่นางจำได้นางเหลือเพียงดวงตาข้างเดียวที่ยังมองเห็นได้ เป็นเพียงการมองเห็นอย่างเลือนรางไม่ชัดเจนนัก

แต่ก็เป็นเพราะดวงตาข้างเดียวที่เหลือนี้ ที่ยังให้นางได้มองเห็นลูกน้อยของนางสิ้นใจไปต่อหน้า เมื่อนึกถึงเรื่องนี้น้ำตาก็พลันไหลออกมาพาให้ดวงตาพร่ามัว จนนางต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง ปาดน้ำตาออกไป และกลับมายังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

นางยกมือขึ้นมาชูมันขึ้นเหนือใบหน้ามองมือขาวผ่องเรียวเล็กบอบบางจนเห็นกระดูกเห็นเส้นเลือดฝอย นี่ไม่ใช่มือนาง มือของนางถูกตัด ถูกทำลายจนไม่เป็นมืออีกต่อไป ตั้งแต่ก่อนที่นางจะถูกผ่าท้องแล้วก็เอาลูกออกมา

ชายผู้นั้นคือเฉิงอ๋องจริง ๆ อย่างงั้นหรือ เฉิงอ๋องศัตรูในชีวิตก่อนของนางปะทะกันมาหลายครั้งหลายครา ตัวนางเป็นทั้งกุนซือและเป็นแม่ทัพหญิงผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังให้กับกองทัพของต้าเลี่ย และทุกครั้งแผนของนางก็จะถูกเฉิงอ๋องผู้นี้รับมือไว้ได้แทบทุกครั้ง

แต่มาบัดนี้วันนี้นางฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และยังเป็นถึงพระชายาเอกของเขา

‘สวรรค์ท่านคงเห็นใจข้าใช่หรือไม่

ท่านคงได้ยินคำสัตย์สาบานของข้าแล้วใช่หรือไม่

ท่านส่งข้ามายังร่างของหญิงผู้มีสามีเป็นถึงเทพสงคราม

แห่งแคว้นของศัตรูที่ข้าวางแผนมาทั้งชีวิต

เพื่อช่วงชิงมาเป็นเครื่องบรรณาการแด่ชายชั่วผู้นั้น

สวรรค์ท่านช่างมีเมตตาต่อข้ายิ่งนัก

ข้าขอมอบคำสัตย์สาบานชีวิตใหม่ของข้านี้ข้าจะใช้มันให้ดี

มันผู้ใดพรากชีวิตของบุตรข้าและข้า

มันผู้ใดพรากเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งวงศ์ตระกูลข้า

มันผู้นั้นจะต้องได้รับความเจ็บปวดคืนสนองพันเท่าทวีคูณ !’

‘ดี! ดียิ่งนัก ! อำนาจนี้ข้าจะขอรับไว้เอง ซือหม่าหวงตี้ครั้งนี้ข้าจะล่มแคว้นเจ้า’

บัดนี้ใบหน้าซีดเซียวผอมแห้งจนเห็นกระดูกอย่างชัดเจนเหมือนคนใกล้ตาย แต่นางกลับแสยะยิ้มด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

หากมีผู้ใดได้มาเห็นใบหน้าของพระชายาเอกในตอนนี้ คงคิดในใจว่านางไม่เหมือนอู๋เสี่ยวหรันผู้บอบบางและงดงาม พระชายาเอกผู้เพียบพร้อมด้วยจรรยาหญิงทั้งปวง

นางเหมือนวิญญาณร้ายที่ผุดออกมาจากขุมนรกอเวจี เพื่อมาทำลายโลกมนุษย์เสียมากกว่า ดวงตาแดงก่ำเส้นเลือดฝอยที่แทบจะระเบิดแตกออกมาได้ทุกเมื่อ สายตาอันแข็งกร้าวหมัดที่กำไว้แน่น บ่งบอกถึงความเคียดแค้นที่อยู่ในใจของนางว่ามันมีมากล้นขนาดไหน

หลังจากที่หายใจเข้าและออกปรับอารมณ์ให้เป็นปกติเรียบร้อยแล้ว นางก็คิดได้ว่าหากต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจะต้องบำรุงร่างกายนี้ให้แข็งแรงเสียก่อน เพราะอู๋เสี่ยวหรันคนนี้อ่อนแอเหลือเกิน มิน่าเมื่อครั้งที่นางยังไม่ตายในชาติก่อน มีข่าวลือว่าพระชายาเอกเฉิงอ๋องป่วยใกล้ตาย จึงได้เล่าลือไปไกลถึงต้าเลี่ย

แต่ร่างกายนี้ไม่ยอมให้นางได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ความเหนื่อยล้าความอ่อนเพลียเข้าโจมตี ทำให้นางหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ไม่รู้ว่าใช้เวลานอนหลับไปอีกนานเท่าใดเมื่อนางตื่นขึ้นครั้งนี้รู้สึกได้ว่าร่างกายที่หนักอึ้งเบาลงไปมากแล้ว

"ใครอยู่ข้างนอก" นางส่งเสียงเรียกออกไป ไม่นานก็มีสาวใช้เดินเข้ามาหานาง “ตอนนี้ยามไหนแล้ว” เสียงของนางยังคงแหบแห้ง

“ทูลพระชายาเป็นเวลาต้นยามอู่เพคะ”

"ไปบอกห้องเครื่องทำอาหารที่ใส่รากบัวเก๋ากี้เพิ่มน้ำแกงโสมร้อยปีมาด้วย"

"พระชายาจะให้แจ้งท่านอ๋องด้วยไหมเพคะ"

"ไม่ต้อง"

นางต้องกิน นางต้องบำรุงร่างกายนี้ให้ดี เพราะนางต้องขอใช้ร่างกายนี้เพื่อการแก้แค้นอันยิ่งใหญ่ ขอบคุณสวรรค์จริง ๆ ที่เมตตาให้วิญญาณนางได้กลับมา ก่อนที่จะส่งนางข้ามสะพานไน่เหอ ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งจนลืมเลือนเรื่องราวในชาตินี้ไป

ยามอู่ (午:wǔ) คือ 11.00 - 12.59 น.
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel