บทที่ 1 (6)
เฟรเดริกที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวด้านหลังเอ่ยถามน้องชายที่เป็นคนดูแลบาร์น้ำกับของหวานในร้านเป็นหลัก ส่วนเขาเป็นคนทำอาหารคาวและจะอยู่หน้าเตาไฟมากกว่าเฟรลิกซ์
“ศูนย์” น้องชายตอบยิ้มๆ แล้วรีบขยายความเพิ่ม “พี่บอกให้ผมนับว่าเธอจะซุ่มซ่ามเหมือนเฟลอร์หรือเปล่า แต่คำตอบคือจานชาม แก้วน้ำยังอยู่ครบทุกใบ แล้วถ้าพี่ยังไม่รู้ล่ะก็ ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้ ฟองเทนได้ทิปจากนักท่องเที่ยวมาสามโต๊ะแล้ว เพราะเธอพูดเยอรมันได้คล่องปร๋อเลย”
“ล้อเล่นน่า ยัยแม่...เอ๊ย ฟองเทนเนี่ยนะ” เฟรเดริกทำเสียงไม่เชื่อเต็มที่
“อือฮึ” เฟรลิกซ์รับคำพลางพยักหน้าให้พี่ชายเป็นการตอกย้ำ “คล่องชนิดไฟแลบเลยทีเดียว”
“บ้าแน่!”
ชายหนุ่มสบถออกมาแล้วหันมองผู้ช่วยเชฟเข็นรถเข็นเตาออกมาจากข้างใน เพราะทุกๆ ช่วงเวลาของมื้ออาหารจะมีการโชว์ทำอาหารสดๆ จากเขาเป็นการเรียกลูกค้า ให้เห็นว่าทำอาหารสดๆ จริงและกินกันแบบสดๆ จากเตากันเลยทีเดียว
เขาเดินตามผู้ช่วยเชฟที่เข็นรถเข็นเตาไปไว้ตรงกลางลานด้านหน้าร้านอาหารที่มีโต๊ะของลูกค้ารายล้อมอยู่ จากนั้นก็พยักหน้าเรียกฟองเทนให้เดินมาหา หญิงสาวมองรถเข็นทำอาหารที่มีหน้าเตาสองเตาอยู่ด้านบน หล่อนรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะทำอะไร แต่ว่าทำไมต้องเรียกหล่อนเข้าไปด้วย!
“เรียกทำไมหรือคะ?”
“เธอมาเป็นลูกมือฉัน”
เขาตอบสั้นๆ แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนพร้อมกับประกาศบอกว่าถึงเวลาโชว์ทำอาหารจานเด็ดของร้านแล้ว และเมนูวันนี้ก็คือ แซลมอนย่างกับซอสมะนาวหวาน
เริ่มแรกนั้นเฟรเดริกจุดเตาไฟจนเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา โดยไม่รอฟังคำตอบหรือการยินยอมของหล่อนว่าจะยอมเป็นลูกมือของเขาหรือไม่ เพราะตอนนี้การทำอาหารให้ลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาของหล่อนที่แปลกไป... จนเกือบจะเป็นหุ่นยนต์สมองกลดับในพริบตา
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจหล่อนเลยนอกจากจดจ่ออยู่กับการรอให้กระทะร้อนได้ที่ เพื่อจะได้เริ่มทำอาหารของเขา ในระหว่างที่รอเตาร้อนเขาก็อธิบายเครื่องปรุงการทำอาหารให้ลูกค้าฟังด้วยเพลินๆ เป็นการฆ่าเวลา
จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือทำอาหารด้วยการเอาปลาแซลมอนชิ้นใหญ่เกือบครึ่งของจานเสิร์ฟ ลงไปจี่ไฟแล้วโรยด้วยเกลือเล็กน้อยรอจนด้านหนึ่งสุกเป็นสีส้มเหลืองสวยงามก็พลิกอีกด้านหนึ่งแล้วโรยเกลืออีกรอบ
แม้มันจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ลีลาการทำอาหารของเขากลับดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพราะเขาพูดคุยกับลูกค้าอย่างสนุกสนานตลอดเวลาที่ทำอาหารไปด้วย แล้วก็แน่นอนว่าเคล็ดลับความอร่อยของจานนี้อยู่ที่ซอสมะนาวหวานสูตรพิเศษของทางร้านนั่นเอง
“โอ้...ตอนนี้สีกำลังสวยได้ที่แล้ว รู้ไหมครับว่าบางทีที่ปลาไหม้เพราะเราดูโทรทัศน์หรือสนใจอย่างอื่นอยู่หรือเบื่อที่จะรอคอย แต่ ‘เวลา’ คือเคล็ดลับของทุกอย่าง ทุกวินาทีของอาหารมีค่าเสมอ แค่หนึ่งหรือเสี้ยวนาทีก็ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยนไปได้ เช่นเดียวกับเจ้าปลาชิ้นนี้ อย่ามองกันเพลิน สนใจปลากันหน่อยครับ”
เฟรเดริกบอกแล้วจึงตักชิ้นปลาแซลมอนใส่จานที่วางอยู่ข้างเตา แต่หากใครไม่รู้อาจจะกำลังคิดว่าเขาสนุกอยู่กับการดึงดูดลูกค้า แต่สำหรับเฟรลิกซ์ที่มองพี่ชายอยู่กลับรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดมาก เพราะผู้ช่วยจำเป็นที่ไปยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากตอนแรกที่ยอมหยิบเกลือส่งให้ ยิ่งตอนหลังที่ควรจะส่งจานให้ใส่ปลาหรือตอนที่น้ำซอสสูตรพิเศษถูกราดลงไปบนจานและตกแต่งจาน เจ้าหล่อนกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย
“ยุ่งล่ะสิ...” เฟรลิกซ์เปรยกับตัวเองแล้วคิดจะเข้าไปหาพี่ชาย แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เมื่อคนเป็นพี่หันไปเล่นงานเชฟฝึกหัดมือใหม่แกะกล่องทันที หลังจากพยักหน้าบอกให้ผู้ช่วยเชฟตัวจริงจัดการเข็นรถเข็นเตากลับไปด้านใน
“มานี่!”
ชายหนุ่มกึ่งลากกึ่งจูงเชฟฝึกหัดจำเป็นของเขากลับเข้ามาในร้าน เขาพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆ ให้ลูกค้าเห็นว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก แต่พอเลี้ยวมุมออกจากห้องอาหารซึ่งเป็นทางเดินเข้าไปในครัวมาได้ เขาก็เปิดฉากซัดเชฟฝึกหัดจำเป็นทันที
“เธอตั้งใจจะทำให้ฉันขายหน้าใช่ไหม!”
เสียงถามของเขาแทบเป็นตวาด แต่มันกลับไม่ได้คำตอบจากคนที่กลายเป็นเป้านิ่งให้เขาเชือด ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นและมันแสดงความกลัวออกมาอย่างชัดเจน จนเฟรเดริกที่ไม่คิดว่าแค่เขาตวาดถามออกไปจะทำให้หล่อนกลัวได้ถึงเพียงนี้
“ฉันถามแค่นี้ ยังไม่ทันทำอะไร ไม่ต้องมาหน้าซีดใส่เลย ไหนตอบมาสิว่าเธอตั้งใจทำใช่ไหม...เฮ้ย!”
ท้ายเสียงของเขากลายเป็นเสียงร้อง เมื่อร่างของคนที่เขากำลังสอบปากคำอยู่ทรุดฮวบลงกับพื้นตรงหน้า ดีแต่เขาคว้าไว้ทันไม่อย่างนั้นหล่อนคงหัวฟาดพื้นไปแล้ว เขาประคองหล่อนไว้ในอ้อมแขนพลางมองใบหน้าซีดเผือดด้วยความไม่เข้าใจและหงุดหงิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเชื่อไม่ลงว่าแค่เขาตวาดใส่ หล่อนจะขวัญอ่อนถึงขั้นเป็นลมได้!
