ตอนที่ 6 : เรือนชิงจิง
ตอนที่
[4]
เรือนชิงจิง
ด้านผู้ที่รออยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง ก็รับรู้ได้แล้วว่าแผนการของตนสำเร็จ จึงได้รีบเดินไปรายงานผู้เป็นนายอย่างอารมณ์ดี ด้านผู้ที่ได้รับรายงานก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“เห็นทีเหยียนเออร์ต้องใช้กฎเจ็ดขับ ในการหย่าภรรยาเร็ว ๆ นี้เสียแล้ว”
หนึ่งข้อ ไม่กตัญญูต่อบิดามารดา และอีกข้อคือเป็นโรคร้าย แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
โรคสติฟั่นเฟือน ทำร้ายข้าวของและร่างกายผู้อื่น
สตรีเช่นนี้ผู้ใดจะอยากได้เป็นภรรยา ถูกต้องหรือไม่ คิดแล้วก็อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ
แม้จะมีอีกรูปแบบในการหย่าที่ดีกว่าแต่หยวนฮูหยินกลับคิดว่าแบบนี้เหมาะสมกว่า
ในขณะที่เรือนใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของฮูหยินใหญ่ เรือนชิงจิงกลับเต็มไปด้วยความเงียบ เสี่ยวหวาหลังจากตกใจและกรีดร้องออกมา ไม่นานก็เป็นลมพับไป ช่ายจือซิ่วจึงได้ประคองสาวใช้ของตนไปพิงไว้กับผนังด้านหนึ่ง ก่อนที่ตนเองจะเดินไปที่ตัวต้นเหตุที่ทำให้เสี่ยวหวาต้องเป็นเช่นนั้น นางเพียงเดินไปตรงหน้าเขา แล้วนั่งลง จากนั้นก็จ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ไม่ทำอันใดราวหนึ่งเค่อ (15 นาที) จนในที่สุดเป็นผู้ที่โดนจับจ้องเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเสียเอง
“ข้ายอมแพ้แล้ว พี่สาวจะว่าอันใดก็ว่ามาเถิด เอาแต่จ้องหน้าข้าเช่นนี้ ข้ากดดันนะ” เสียงที่ราวกับเด็กอายุอานามไม่เกินสิบหนาวถูกเปล่งออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงว่าตนยอมแพ้แล้ว
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
เสียงนี้…..
เด็กน้อยได้ยินเสียงของสตรีตรงหน้าในใจก็รู้สึกอ่อนยวบลงทันที
“ข้าเป็นผี ข้าเพียงอยากหลอกพวกท่าน”
ช่ายจือซิ่วชะงักไปเล็กน้อย ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนทั่วไป แต่เมื่อมาได้ยินเขากล่าวตรง ๆ นี้ก็ออกจะตกใจไม่น้อย
ผีนั้น แท้จริงแล้วมีจริง
นางคิดว่าจะมีเพียงเรื่องเล่าในโรงละครหรือในนิยายเท่านั้น
ในใจปรากฏความกลัววูบหนึ่ง แต่เมื่อคิดว่าผีก็เคยเป็นคนมาก่อน และผีที่อยู่ตรงหน้านางนี้ก็ดูไม่ใช่คนชั่วอันใด หากได้ลองสอบถามพูดคุยกันสักนิด อาจจะไม่มีเรื่องน่ากลัวอันใดก็ได้
“ท่านไม่กลัวข้าหรือ” วิญญาณเด็กน้อยอายุแปดหนาวมองสตรีตรงหน้าอย่างแปลกใจ ท่าทางเช่นนี้เขาเดาไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร หากว่ากลัวเหตุใดจึงไม่รีบวิ่งหนีออกไปเฉกเช่นคนอื่น ๆ หรือไม่ก็อาจจะสลบไปเช่นพี่สาวอีกคนตรงมุมผนังนั่น
“ข้ายังไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวเจ้า ในยามนี้เพียงแค่สงสัยว่าเพราะเหตุใดเจ้าต้องหลอกพวกข้า”
“ที่จริงข้าก็หลอกทุกคนที่มาที่นี่”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะข้าหวงเรือนนี้ ที่นี่คือบ้านของข้า พวกเขามักจะพาคนมาทรมานที่นี่ ข้าไม่ชอบ แต่เมื่อข้าหลอกพวกเขา ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาที่นี่อีก”
พาคนมาทรมานเช่นนั้นหรือ
“เด็กน้อยเจ้าชื่อว่าอันใด” ช่ายจือซิ่วมีคำถามในหัวเต็มไปหมด จึงได้ตัดสินใจที่จะถามเรื่องราวจากเด็กน้อยตรงหน้า เพราะคงต้องพูดคุยกันยาว
“ข้ามีนามว่า จิ้นอันขอรับ”
ตระกูลจิ้นเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่คุ้น
“ข้าขอเรียกเจ้าว่าอันเออร์ได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ” นี่เป็นครั้งแรกที่จิ้นอันรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับคนที่มาบุกรุกเรือนของเขา
“ดี เช่นนั้นอันเออร์เจ้าเล่าเรื่องของเจ้าให้พี่สาวฟังได้หรือไม่ แต่ก่อนจะเล่าเจ้าช่วยทำให้เจ้าดูไม่น่ากลัวได้หรือไม่”
จิ้นอันเมื่อรู้สึกว่าตนอยู่ในรูปลักษณ์ที่เขาเอาไว้หลอกผู้คน ก็รีบกลับคืนร่างปกติของตนทันที
“น่ารักนัก ต่อไปวันหน้าต้องรูปงามมากเป็นแน่”
ช่ายจือซิ่วกล่าวออกมาทันทีเมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย เด็กน้อยผู้นี้แม้จะอายุน้อย แต่ต่อไปหากเติบใหญ่ต้องกลายเป็นคนที่รูปงามมากเป็นแน่
“ไม่มีวันหน้าแล้วพี่สาว”
ขณะที่กำลังคิดไปไกลเสียงของเด็กน้อยก็ทำลายความคิดนั้นทันที
ใช่สินะ เขาตายไปแล้ว และคงไม่มีโอกาสเติบใหญ่แล้ว….
“อันเออร์ ข้าขอโทษ ข้า….”
“มิเป็นไรขอรับ เรื่องเล็กน้อย พี่สาวอยากรู้อะไรอีกหรือไม่”
เมื่อเห็นเด็กน้อยพยายามแย้มยิ้มเพื่อให้ตนสบายใจ ช่ายจือซิ่วจึงยิ้มออกมาเช่นกัน
“ก่อนอื่น…. ข้าชื่อช่ายจือซิ่ว ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าพี่จือซิ่วได้ สิ่งที่ข้าอยากถามคือ เจ้ามาอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างไร”
“พี่จือซิ่ว…. ที่จริง….ข้าอยู่ที่นี่มาสิบห้าปีแล้ว เหตุการณ์ก่อนหน้าจำไม่ได้ว่ามาอยู่ได้อย่างไร จำได้เพียงว่าลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ในยามนั้นเจ้ามู่เหยียนนั่นอายุเพียงห้าหนาวเท่านั้น ส่วนข้าก็เท่าที่ท่านเห็นตอนนี้”
นั่นหมายถึงว่าเขาตายตอนอายุแปดหนาว
แม้จะอายุน้อย แต่เหตุใดจึงจำเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ได้สักนิดเลยเล่า
“ว่าแต่ เจ้าเห็นหยวนมู่เหยียนตั้งแต่เป็นเด็กเลยหรือ ยามนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้านั่น…. เป็นลูกคนเดียวก็ย่อมเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนเลวร้ายอันใด แต่ผู้ที่เลวร้ายคือมารดาของเขาต่างหาก ที่แต่ก่อนมักจะเอาคนมาทรมานที่นี่ ทั้งเหล่าอนุภรรยา และบ่าวรับใช้ อี่เจิ้งเหอ บ่าวคนสนิทของนางก็เช่นกัน ยามนั้นนอกจากจะพาคนมาทรมาน ยังจะพาบุรุษมาพลอดรักด้วยอีก ข้าที่ทนมานานเลยไม่ทนอีกต่อไป จึงได้สำแดงฤทธิ์เดชให้พวกเขาได้รู้ หลังจากนั้นเรือนนี้ก็ไม่มีผู้ใดมาอีก แม้แต่เข้าใกล้ก็ไม่กล้า”
“เพราะเช่นนั้นเรือนนี้จึงได้ร้างเช่นนี้สินะ”
“ใช่แล้ว แม้ข้าจะปวดใจไม่น้อยที่มันผุพังขึ้นทุกวัน แต่ก็สบายใจที่ไม่มีคนมากวน”
“เจ้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าตนเองอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก หรือว่าจู่ ๆ ก็ได้มาอยู่” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางสงสัย ว่าที่นี่คือเรือนของเขาจริง ๆ หรือว่าเขาเป็นผีที่เร่ร่อนมาแล้วจับพลัดจับผลูมาอยู่กันแน่
“แม้ข้าจะจำเรื่องราวก่อนหน้าที่จะตายไม่ได้ แต่ข้ามั่นใจว่านี่คือเรือนของข้า เป็นข้าที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น” จิ้นอันเงยหน้าแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความคะนึงหา
“ข้าคุ้นเคยกับที่นี่มาก ทั้งยังรู้สึกอบอุ่น ยามที่อยู่ที่นี่”
“ข้าเข้าใจแล้วอันเออร์ แต่ว่าต่อไปเห็นทีว่าจะต้องทำให้เจ้าลำบากแล้ว เพราะหยวนฮูหยินส่งข้ามาอยู่ที่นี่”
เด็กน้อยเบิกตาขึ้นก่อนจะขยับเข้ามาหาพี่สาวคนงาม
“ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลย ว่าท่านเป็นผู้ใด เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่”
ช่ายจือซิ่วถอนหายใจหนัก ๆ จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟัง จนกระทั่งเล่าจบ…..
“ตระกูลหยวนไม่มีดีสักคน ตระกูลช่ายก็ด้วย!!” เด็กน้อยจิ้นอันหายใจรัวเร็วด้วยความโกรธ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกดีและผูกพันกับพี่สาวคนใหม่นี้นัก จนรู้สึกโกรธเมื่อได้รับรู้ว่านางประสบกับสิ่งใดมาจนได้มาอยู่ที่นี่
ด้านเสี่ยวหวาที่สลบไปครู่ใหญ่ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าผีตนนั้นยังอยู่ ก็ได้แต่เบิกตากว้างขึ้นแล้วสลบไปอีกครา จนกระทั่งยามอู่ (11.00 น. – 12.59 น.)
ด้วยสัญชาตญาณและจิตใต้สำนึกที่ต้องดูแลผู้เป็นนายทำให้เสี่ยวหวาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ในจังหวะนั้นทำให้ช่ายจือซิ่วรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เสี่ยวหวาฟังก่อนที่อีกฝ่ายจะสลบไปอีกครั้ง ด้านสาวรับใช้ที่ได้ฟังจนจบ ก็ได้แต่หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
“คุณหนูเหตุใดพวกเราจึงเห็นผีเล่า!!”
