ตอนที่7. ท่าทางไร้เดียงสาราวเด็กน้อย
ทว่าท่าทางไร้เดียงสาราวเด็กน้อย แม้นางหมายมั่นปีนป่ายเตียงของซุนเจ้าเฟิง แต่ถ้าได้รับความเอ็นดูจากหานหรงเหยาก็ยินดีรับไว้ ทว่าบุรุษทั้งสองกลับไม่มีท่าทีตอบสนองกับนางสักนิด นางที่เคยมั่นใจรูปโฉมของตนต้องเสียความรู้สึกเพราะบุรุษทั้งสอง แต่ยามนี้หานหรงเหยากลับแสดงท่าทีใส่ใจสตรีขึ้นมา ความริษยาขุมหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที
หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจเมื่อได้กลิ่นความริษยาก็ทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆ จูอี้ซิน
“แม่นาง...ทำอะไรเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้ามีกลิ่นริษยาเข้มข้นถึงเพียงนี้” หลิวเข่อซิงเอียงคอมองอย่างสงสัย
“ข้า...ข้าเปล่านะ!” จูอี้ซินกินปูนร้อนท้องรีบปฏิเสธโดยเร็ว แต่
หานหรงเหยากลับหัวเราะในลำคอ ยิ่งทำให้จูอี้ซินเสียหน้า นางรีบขอตัว
แล้วก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นอะไร” หลิวเข่อซิงมองอย่างงุนงง
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าได้กลิ่นความริษยา?” เขาถามด้วยความสนใจแล้วหยิบหวีหยกของตนมาแปรงผมให้นางด้วยตนเอง
หลิวเข่อซิงนั่งนิ่งบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มกับการถูกปรนนิบัติ นานจนแทบจำไม่ได้แล้วว่า เคยถูกแปรงขนให้ครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน
“อ่า...ดีจริง”
“แม่นางหลิวหมายถึงเรื่องใด” เขาเองก็ไม่ได้แปรงผมให้สตรีมานานมาก เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเขาเคยปักปิ่นให้หลัวซู่เหมย หัวใจหวนคิดถึงวันวานเห็นภาพนางซ้อนทับหลิวเข่อซิงอย่างไม่ตั้งใจ
“เรียกข้าเข่อซิงเถิด” นางพูดขึ้นทำลายความคิดคำนึงของเขา “เมื่อครู่ข้าหมายถึงที่เจ้าแปรงผมให้ข้า”
“อย่างนั้นหรือ” เขาเพียงรับคำเบาๆ พยายามอย่างสุดจิตสุดใจหักห้ามไม่ให้ตนเองคิดถึงหลัวซู่เหมยอีก
“อ้อ! ข้าได้กลิ่นความริษยา” นางพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ “มันไม่เลวร้ายนักหรอก ผู้ใดก็มีความริษยากันได้ เพียงแค่ถ้าริษยามากหน่อย ข้าก็ได้กลิ่น ท่านแม่สอนว่าต้องระวังตัว คนพวกนี้หากมีความริษยามากเกินไปก็อาจทำร้ายผู้อื่นได้”
“ท่านแม่ของเจ้าพูดถูกต้องแล้ว” เขาเองก็พอรู้ความคิดของจูอี้ซิน แต่เพราะนางเองไม่ได้ทำให้เขากับสหายรำคาญนัก และพ่อบ้านจูดูแลจวนเป็นอย่างดี
เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง
“อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก”
“อย่างนั้นหรือ”
“ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย”
“หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน
“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อนแอจึงอยากตาย” นางถามทั้งที่ดวงตาพราวระยับด้วยความหวัง
หานหรงเหยากลั้นหัวเราะ นางยังเข้าใจผิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ท่าทางไร้อาวรณ์ในชีวิตของเขาคงเหมือนคนอยากตายกระมัง แต่คนที่อายุสั้นเช่นเขาคงไม่ต้องเร่งร้อนพาตัวเองไปสู่ความตายเร็วนัก
แต่นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หัวใจของเขายังไม่แข็งแรงจริงๆ เมื่อครู่ยังเผลอคิดถึงหลัวซู่เหมยอยู่เลย นางกลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะเลิกคิดถึงนางเสียที
“เอาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้ามาก” นางพูดแล้วยืดแผ่นหลังขึ้นเลียนแบบท่าทางสูงส่งของท่านแม่ ท่านแม่เป็นปีศาจจิ้งจอกแดงอายุหลายพันปี ท่วงท่างามสง่าน่าเคารพยำเกรงเป็นที่สุด นางวาดฝันไว้ว่าสักวันต้องเป็นให้ได้เช่นท่านแม่
