ตอนที่ 9 กำจัดมารหัวใจ
วันนี้ปานชีวันเข้าไปดูคนงานในไร่ส้มแต่เช้า ถึงแม้คฑาวุฒิจะรีบตื่นแต่เช้าแต่ก็ไม่ทันหล่อนอยู่ดี จะว่าไปแล้วเวลาที่ปานชีวันอยู่ที่นี่ดูหล่อนจะมีความสุขมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ เสียอีก
คฑาวุฒิเดินออกมาที่ระเบียงเห็นคุณปู่กำลังนั่งจิบน้ำขิงอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปหา
“ตอนเช้าๆ อากาศที่นี่สดชื่นจังเลยนะครับคุณปู่ มิน่าล่ะน้องปานถึงชอบที่นี่มาก”
“อ้าวตาวุฒิ มานั่งกับปู่มา” ปู่อนันท์เอามือตบเก้าอี้เป็นการเชื้อเชิญให้เขานั่งข้างๆ
“เป็นไงบ้างลูกหลับสบายดีไหม”
“ครับคุณปู่ อากาศดีมากตอนเช้าผมแทบไม่อยากตื่นเลยครับ แต่คิดไปคิดมาถ้าได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกคงจะดี ผมเลยรีบออกมาครับ”
“ตอนเช้าแบบนี้วุฒิดื่มน้ำขิงสักหน่อยไหม”
“ไม่เป็นรับครับคุณปู่...ว่าแต่น้องปานออกไปสวนแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเหรอครับ”
“ใช่แล้ว! รายนั้นเขาชอบทำสวนมากเลยรู้ไหม เห็นตัวเล็กๆ แบบนั้นทำงานแทนพ่อแม่ได้ดีทีเดียว แต่บางครั้งก็รั้นสุดๆ เหมือนกัน” คุณปู่อนันท์พูดถึงหลานสาวใบหน้าเต็มไปด้วยรอย ยิ้ม
คุณปู่อนันท์ท่านใจดีและอบอุ่นแบบนี้นี่เองปานชีวันถึงยอมแต่งงานกับเขาตามคำขอของท่าน หล่อนคงจะรักคุณปู่มาก คฑาวุฒิคิด
“คุณปู่ครับ! ถ้าอย่างนั้นผมขอตามน้องปานเข้าไปในไร่ได้ไหมครับ”
“ได้สิลูก! ไปได้เลยเดี๋ยวปู่เรียกคนงานให้พาเข้าไป”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับคุณปู่ เดี๋ยวผมจะขับรถไปเรื่อยๆดีกว่าครับ จะได้ชมบรรยากาศในไร่ไปด้วย”
“เอาแบบนั้นเหรอลูก”
“ครับคุณปู่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ”
“ครับ...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไปเถอะลูก” ชายสูงวัยเอ่ยอย่างใจดี
ให้หลังคฑาวุฒิ คุณปู่อนันท์นั่งยิ้มอยู่คนเดียว เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้หลานสาวแต่งงานกับชายหนุ่ม ดูๆ ไปแล้วคฑาวุฒิก็มีใจให้หลานสาวของตนอยู่ไม่น้อย แต่คงต้องอาศัยเวลาสักพักกว่าคฑาวุฒิจะรู้ใจตัวเอง
คฑาวุฒิเดินเข้าไปในไร่ส้มดูนั่นดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ ตอนแรกชายหนุ่มกะว่าจะขับรถมา แต่สุดท้ายแล้วกเขาก็เปลี่ยนใจ คฑาวุฒิเดินมาเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงตรงที่ปานชีวันอยู่
ตอนนี้ปานชีวันกำลังสอนอคิณและเพื่อนๆ เก็บส้มอยู่อย่างสนิทสนม ไม่รู้ทำไมเวลาที่เขาเห็นท่าทางสนิทสนมของปานชีวันและอคิณทีไรมันทำให้เขาหงุดหงิดทุกที
“ปานชีวันมาตรงนี้หน่อย ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” เขาตะโกนเรียกหล่อน
“มีอะไรเหรอคะ ดูคุณท่าทางแปลกๆนะ”
“นี่คุณ! กำลังทำอะไรอยู่” คฑาวุฒิถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็เก็บส้มไง...มีอะไรเหรอ”
“ผมว่าไม่ใช่แค่เก็บส้มหรอก เพราะผมเห็นเต็มสองตาว่าคุณกำลังจู๋จี๋อยู่กับนายอคิณนั่นอยู่”
“คุณคิดอะไรบ้าๆ อคิณเขาเป็นเพื่อนของฉัน ไม่มีใครเขาคิดอะไรบ้าๆ อย่างที่คุณคิดหรอกน่า”
“ใครเขาจะเชื่อ! ดูก็รู้ว่ามันชอบคุณ ผมบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะอยู่ห่างๆ นายอคิณนั่นบ้างก็ดี ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย กรุณาไว้หน้าผมบ้าง”
“คุณนี่! คิดไปเรื่อยนะ แถมยังขี้บ่นขึ้นทุกวัน ดูท่าจะแก่แล้วจริงๆ” หล่อนพูดให้เขาพลางหัวเราะชอบใจ
“คุณปานชีวัน! ผมจริงจังนะและผมก็ไม่ตลกด้วย” เขาพูดเสียงขรึม
“โอเค! โอเคค่า...ฉันเข้าใจแล้วไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้เลยลุง ดุชะมัดกลัวไปหมดแล้วเนี่ย เอาเป็นว่าฉันจะพยายามรักษาระยะห่างก็แล้วกันนะ”
“ดี!!”
“ที่ทำตามนี่ไม่ได้หมายความว่ากลัวลุงนะ...แต่รำคาญ ลุงมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย...ถ้าพูดจบแล้วฉันไปละน” หล่อนพูดพลางเดินเข้าไปในสวน
“แล้วนี่คุณจะไปไหน” คฑาววุฒิตะโกนตามหลังหญิงสาว
“ไปเก็บส้มไง จะไปด้วยมั้ยล่ะ”
“ไปสิถามได้” เขาตอบด้วยท่าทีดีใจแล้วรีบวิ่งไปหาหญิงสาว
“คุณช่วยสอนผมด้วยนะ ว่าเก็บยังไง”
“ได้สิ! ก่อนอื่นคุณต้องไปหยิบตะกร้ามาก่อน” ปานชีวันบอกเขาสายตาก็จ้องไปที่กองตะกร้า คฑาวุฒิรีบทำตามอย่างว่าง่าย
“แน่ใจใช่มั้ยว่าจะทำไหว ไม่ใช่เป็นลมเป็นแล้งให้ฉันต้องแบกกลับนะ ดูท่าทางคุณคงไม่เคยตากแดดด้วยซ้ำนะฉันว่า”
“คุณจะดูถูกผมมากเกินไปแล้วนะ ผมเป็นผู้ชายแค่นี้ผมทำได้สบายมาก คุณตัวเล็กนิดเดียวยังทำได้เลย”
“งั้นก็ลองดูฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะทนไหวมั้ย”
พิมลดาและอคิณมองดูสองหนุ่มสาวที่คุยกันด้วยความสนิทสนมด้วยความรู้สึกคนละแบบ
พิมลดารู้สึกว่าปานชีวันช่างโชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชายที่รักและทำให้เพื่อนของหล่อนมีความสุขมากขนาดนี้ อีกทั้งเขายังหล่อและรวยมาก หล่อนดีใจกับเพื่อนมากจริงๆ
ส่วนอคิณมองดูทั้งสองคนอย่างเจ็บปวดหัวใจ เขาแอบรักปานชีวันมานานแล้วนานหลายปีมาก แต่หล่อนก็ทำเหมือนไม่รับรู้ถึงความในใจของเขา แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หล่อนก็หยิบยื่นแค่ความเป็นเพื่อนให้เขาเท่านั้น
“คิณไม่เป็นไรนะ” เสียงของพิมลดาดังขึ้นจากทางด้าน หลัง เมื่อหล่อนเห็นใบหน้าเศร้าของอคิณหัวใจของหล่อนก็เจ็บ ปวดไปด้วย
“อืม! เราไม่เป็นไรหรอก ขอบใจดามากนะ”
อคิณตอบพลางฝืนยิ้มให้พิมลดา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพิมลดาแอบชอบเขาเช่นกัน แต่เขาก็คิดกับหล่อนแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่า นั้น เพราะหัวใจเขามอบให้ปานชีวันเพียงคนเดียว ตอนนี้เขายังตัดใจจากปานชีวันไม่ได้เขาจึงยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจให้ใครเข้ามา
“คิณ! อย่าเศร้าไปเลย พรุ่งนี้เราก็กลับกันแล้ว มาเที่ยวทั้งทีก็ทำตัวให้สนุกดีกว่านะ ถ้าคิณเศร้าเดี๋ยวยัยปานจะเป็นห่วงเอานะ” พิมลดาปลอบอคิณทั้งที่หัวใจก็เจ็บปวดไม่ต่างจากเขา
“อืม” อคิณได้แต่ตอบสั้นๆ
ตอนเย็นปานชีวันได้จัดงานปาร์ตี้เล็กๆ เลี้ยงส่งเพื่อนๆของหล่อน
“ทุกคนมาถ่ายรูปกันเร็ว” หล่อนชวนเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงสดใส
คฑาวุฒินั่งลงข้างปานชีวัน ส่วนอีกด้านหนึ่งคืออคิณด้วยความหึงหวงคฑาวุฒิจึงยกมือขึ้นโอบไหล่ปานชีวันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“จะถ่ายแล้วนะทุกคนเตรียมตัวนะ นับ 1 2 3 แชะ!” ปานชีวันส่งสัญญาณ ใบหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากปานชีวันถ่ายรูปกับเพื่อนๆ เสร็จคฑาวุฒิก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“ปานชีวัน! วันนี้คุณอย่ากินเหล้าเยอะนะ ถึงจะเป็นบ้านคุณก็เถอะ” คฑาวุฒิกระซิบหล่อน
“ถ้าฉันกินเยอะแล้วจะทำไม”
“ผมขี้เกียจแบกคุณขึ้นไปนอน รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองหนักมากแค่ไหน อีกอย่างนะสภาพคุณตอนเมาเนี่ยดูไม่ได้เลยสักนิด คุณเป็นผู้หญิงที่เมาแล้วน่าเกลียดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา”
“อีตาบ้านี่!” หล่อนพูดพร้อมใช้ฝ่ามือเล็กๆ ตีไปที่แขนของเขา
“ชอบพูดให้ฉันเสียความมั่นใจอยู่เรื่อยเลย ฉันคงไม่หนักถึงขั้นที่คุณอุ้มฉันไม่ไหวหรอกมั้ง”
“มันก็ไม่แน่”
“ในฐานะคู่หมั้น ฉันขอออกคำสั่งไว้ตรงนี้เลย ถ้าฉันเมาขึ้นมาจริงๆ คุณต้องเป็นคนอุ้มฉันไปนอน ห้ามขัดคำสั่งฉันเด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่า” ปานชีวันบอกกับคฑาวุฒิพร้อทั้งเอานิ้วชี้หน้าเขา
“รับทราบครับคุณผู้หญิง...นี่ขนาดแค่หมั้นนะ ถ้าแต่ง งานกันขึ้นมาจริงๆ ผมไม่เป็นทาสคุณเลยเหรอ”
“ก็ไม่แน่นะ” หล่อนพูดพลางยักไหล่
และแล้วงานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน ปานชีวันก็เมาไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม คฑาวุฒิมองดูหล่อนในสภาพเมามายก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา จนแล้วจนรอดก็เป็นเขาที่ต้องอุ้มหล่อนขึ้นไปที่ห้องนอนเหมือนเดิม
