บทที่ 8 มานี่
ดวงตาระริกระรี่ตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา
“เธอกลัวหรออยู่ข้างหลังไว้ก็แล้วกัน”
นี่เป็นคำพูดของผมที่ออกมาจากปากตัวเองเป็นประโยคแรกพร้อมกับนำมือของตัวเองไปจับไว้ที่แขนของเธอเบาๆ ก่อนจะกระชากให้เธอมาหลบอยู่ข้างหลังผมเอาไว้เพื่อที่ว่าจะได้ปลอดภัย
“ได้ครับเสี่ย เฮ้ย! พวกเราลุย!”
ทันใดทันผมก็ได้ยินเสียงไอ้พวกลูกน้องของไอ้เสี่ยตัณหากลับคนนั้นพูดขึ้นก่อนที่จะตรงเข้ามายังผม
ผมอยากจะจบปัญหานี้เร็วๆ ไม่อยากให้ร้านของคนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วยเรื่องแบบนี้และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือผมไม่อยากให้คนข้างหลังของผมต้องกลัวจนตัวสั่นจึงตัดสินใจเอามือไปคว้าวัตถุสีดำข้างหลังออกมาสับไกก่อนที่จะเล็งไปยังไอ้พวกนั้นทันที
กรื๊ก!
“พวกมึงเข้ามาตาย!”
เสียงเย็นชาของผมพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาที่แน่วแน่ไปยังพวกมันให้รับรู้ความถ้าเข้ามาผมยิงจริง
“เฮ้ยไอ้โซฟัส เอาจริงหรอกวะ”
เสียงของไอ้เทลพูดขึ้นมาจากด้านหลังของผมพร้อมกับเดินขึ้นมายืนแนบข้างของตัวผมเอง
“เออเอาจริงวะไอ้เทล”
ผมจึงตอบไอ้เทลกลับไปมันคงรู้ดีว่าผมอยากจบปัญหานี้เร็วๆ ไม่อยากให้มันยืดยื้อให้เสียเวลา
“งั้นกูเอาด้วยวะ” เสียงไอ้เทลตอบมา
“น่าสนุกดีวะ” ต่อด้วยเสียงไอ้คิวพี
“แบบนี่กูชอบ” เสียงไอ้แวนเดอร์
“เอาถึงขั้นตายไหมวะ”
ปิดท้ายด้วยไอ้รูธ พวกมันเดินขึ้นมายืนในระนาบเดียวกับผมเหมือนกับยืนหน้ากระดานพร้อมกับสับไกปืนเล็งไปยังไอ้พวกนั้นทันที
กริ๊ก!
“เฮ้ย! ไอ้โซฟัสพาผู้หญิงไปก่อนเถอะวะ เดี๋ยวทางนี้พวกกูเคลียเอง” เสียงของไอ้แวนเดอร์บอกกับผม มันไม่อยากให้เจนิสเห็นความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น
“เอางั้นหรอวะไอ้แวนเดอร์” ผมย้ำถามไอ้แวนเดอร์ทันที
“เออ ไปเถอะพวกกูจัดการได้สบาย”
เมื่อได้ยินสียงของไอ้แวนเดอร์ตอบกลับมาผมก็รีบคว้าแขนของเจนิสที่อยู่ข้างหลังของผมเดินออกมาจากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทันที ผมลากเธอเดินมายืนใกล้รถของตัวเองก่อนจะถามเธอขึ้น
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เอ่อ .. ฉะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกว่าแต่นะ นายเก็บปืนก่อนดีไหม?”
เสียงของเธอตอบผมอย่างกับคนติดอ่างก่อนที่จะใช้นิ้วมือตัวเองชี้ไปทางปืนที่อยู่ในมือผมผมจึงรู้สาเหตุที่เธอพูดติดอ่างทันทีก็เพราะว่าเธอกลัวปืนที่อยู่ในมือของผมทันที
ผมจึงรีบเก็บปืนไปเหน็บเก็บไว้ที่เอวก่อนที่จะเห็นท่าทางของเธอมันก็เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผมได้ ผมจึงถามขึ้น
“กลัวหรอ?”
“กลัวสิใครจะไม่กลัวปืนบ้างล่ะ เอ่อ..ขอบใจนะที่ช่วยฉันจากเรื่องบ้าๆ พวกนั้น ถ้าเกิดไม่ได้นายฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงเหมือนกัน ฉันชื่อเจนิสนะ”
ผมนึกแล้วว่าคำแรกที่เธอจะพูดก็คือคำว่ากลัว แล้วมันก็ใช่เสียด้วย เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรอยยิ้มจากคนตรงหน้า รอยยิ้มที่สวยไม่มีการตอแหลพร้อมกับการแนะนำชื่อ
“อ๋อ ไม่เป็นไร ชื่อโซฟัส” ผมตอบเธอเสียงเรียบๆ
“ยิ่งดีที่ได้รู้นะโซฟัส” เธอตอบผมอีกครั้ง
หลังจากนั้นผมกับเจนิวก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ทุกๆ วันผมก็คอยมารับส่งเธอจากการทำงานจนคนอื่นๆ คิดว่าเป็นแฟนกันเสียแล้ว
ผมยอมรับได้เลยว่าผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่น่ารัก คอยสร้างอารมณ์ความขบขันให้ผมได้ยิ้มเสมอและยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมพาไปให้ไอ้พวกเพื่อนผมรู้จักหรือว่าผมจะรักเธอเข้าแล้วจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผมไปรับเธอที่หน้าร้านอาหารของน้องสาวตัวเองที่เธอทำงานอยู่ เมื่อเธอออกมาผมกับตะลึงถึงสภาพของเจนิสเลยจริงเธอเปียกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เกิดอะไรขึ้นเจนิสทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?” ผมจึงรีบเข้าไปถามเธออย่างเค้นเอาคำตอบ
“คือ...ว่าเกิดเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยนะ ไม่มีอะไรจริงๆ นะโซฟัส” และนี่ก็คือคำตอบของเจนิส เธอตอบผมพร้อมกับทำท่าทางก้มหน้าก้มตาไม่เงยมองหน้าผม
มันเป็นสิ่งที่ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอโกหก
“ใส่ซะเดี๋ยวก็เป็นปอดบวมกันพอดี”
จากนั้นผมก็ถอดเสื้อแจ๊สเก็ตของตัวเองให้เจนิสทันที ถ้าขืนเป็นแบบนี้ก็ไม่สบายกันพอดี
“ขอบคุณนะ” เสียงขอบคุณเบาเอ่ยขึ้นเบาๆ
“แล้วก็มานี่!”
