หนึ่ง ปฏิบัติการหนีท่านหมอ
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยามนี้น่าจะประมาณต้นยามเหม่า หลิวซื่อเฟิงที่ยังมิได้ทานมื้อเช้าเพราะต้องรีบตื่นขึ้นมาทำสิ่งคั่งค้างตั้งแต่เมื่อวานให้เสร็จก่อนถึงเวลาไปปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาตามปกติ
เวลานี้หลิวซื่อเฟิงกำลัง....
....นั่งประกอบชิ้นส่วนอะไรบางสิ่งอย่างตั้งใจ
เบื้องหน้าหญิงสาวคือสิ่งประดิษฐ์อาจหน้าตาประหลาดในความคิดของคนยุคสมัยโบราณนี้ทว่าหากเป็นในยุคสมัยของนางเมื่อชาติที่แล้วล่ะก็คงคิดว่ามันหน้าตาคล้ายกับ....
ปืน....มิใช่ปืนธรรมดาเสียด้วย
“กำลังประดิษฐ์สิ่งใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
สาวใช้ประจำตัวที่ติดตามเข้ามาพำนักในวังกับหลิวซื่อเฟิงด้วยนามว่า เจียอิง ย่อตัวลงมานั่งให้เท่ากับเจ้านายของตนที่นั่งสบายอารมณ์อยู่บนพื้นหญ้าประกอบบรรดาเศษเหล็กทั้งหลาย เดี๋ยวประกอบชิ้นนั้นเข้าด้วยกัน ถอดชิ้นนี้ออกอยู่หลายทีก็ยังมิเป็นผลสักที
นางถามด้วยความสงสัยจากใจจริงด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือหากคุณหนูของตนต้องการ เผื่อสามารถช่วยคลายคิ้วที่ขมวดปมของเจ้านายสาวได้
“ปืน”
“หืม? ปะ ปืน มิใช่ว่าคุณหนูทำอาวุธชนิดนี้สำเร็จและมอบให้องค์ฮ่องเต้ไปแล้วหรือเจ้าคะ ยะ....”
“ปืนฉบับพัฒนาสิ ข้ากำลังจะทำปืนกลเผื่อเอาไว้ให้ท่านลุงนำไปมอบให้กองทัพทำสงครามอย่างไรเล่า”
“หืม คุณหนูของบ่าวช่างเก่งกาจเหนือผู้ใดจริงๆเจ้าค่ะ”
เจียอิงมองเจ้านายสาวของตนเองด้วยความเลื่อมใส ตั้งแต่นางติดตามเจ้านายตนเองตั้งแต่วัยเยาว์ เฝ้ารับใช้และเฝ้าดูทุกการเติบโตของเจ้านายตัวน้อยของตนเองมาโดยตลอด ไม่มีช่วงเวลาไหนที่นางไม่รู้สึกภาคภูมิใจเลยสักครั้ง
ตั้งแต่เข้าวังมานอกจากเรียนรู้มารยาทและวิชาสตรีชั้นสูงจากฮองเฮาแล้ว สิบปีที่ผ่านคุณหนูตัวน้อยของนางก็มักเข้าไปสนทนากับฮ่องเต้อย่างออกรสออกชาติมาโดยตลอด
อายุสิบหนาวประดิษฐ์อุปกรณ์ออกกำลังกายให้พระองค์ทรงใช้
อายุสิบเอ็ดหนาวริเริ่มวาดแบบร่างเสนอความคิดในการประดัษฐ์อาวุธสงครามที่คุณหนูตั้งชื่อมันว่า ‘ปืน’
อานุภาพของมัน ประโยชน์ของมันเป็นอย่างไรมิรู้แต่บ่าวสนิทอย่างนางรู้ว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้ก็มักเรียกหาคุณหนูของตนเข้าพบในห้องทรงอักษรอยู่วันละนานสองนาน
คุณน้อยของตนออกมาจากห้องทีก็ดวงตาเปล่งประกาย เข้าไปเก็บตัวขีดเขียนอยู่ในห้องตนเองที ออกมาเข้าพบฮ่องเต้เป็นแบบนี้แรมปีจนกระทั่งคุณหนูวัยสิบสองหนาวจึงได้ทำงานร่วมกับช่างตีเหล็กฝีมือฉกาจของแคว้นที่ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้มาทำงานรับใช้คุณหนู
หลังจากนั้นอาวุธ ‘ปืน’ ที่คุณหนูออกแบบก็สำเร็จถูกนำไปทดลองใช้พอได้ผลก็นำไปผลิตเพิ่มจำนวนมากเพื่อเอาไปใช้ในกองทัพจริง
ทั้งหมดทั้งมวลใช้เวลาหลายปีจนบัดนี้คุณหนูของนางอายุสิบหกหนาววันๆ หากมิต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาก็มักเก็บตัวอยู่ที่ ‘ลานประดิษฐ์ของวิเศษ’ สถานที่ฮองเต้พระราชทานเป็นรางวัลให้คุณหนูคนเก่งของนางตั้งแต่ประดิษฐ์อาวุธ ‘ปืน’ สำเร็จ
“ปืนกล หน้าตาไยมิเหมือนกับปืนอันก่อนเลยเล่าเจ้าคะคุณหนู”
“อันก่อนหน้าที่ข้าทำเรียกชื่อเต็มว่าปืนลูกโม่ เป็นอาวุธระยะไกลเหมือนกันแต่อานุภาพของมันแตกต่างกันมาก....เฮ้อ....” หลิวซื่อเฟิงวางชิ้นส่วนต่างๆ ในมือลงบนพื้นอย่างหมดแรง “แต่ทำยากชะมัด ซับซ้อนเกินไปจริงๆ สงสัยข้าจะต้องออกแบบใหม่อีกรอบแล้วล่ะ”
หญิงสาวทิ้งตัวนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นหญ้าพลางบิดตัวคลายความเมื่อยล้า
ชาติที่แล้วนางเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาลัยชื่อดังระดับหนึ่งของโลกแม้เรียนจบมาจะมิได้ทำงานตรงสายเพราะถูกชักชวนลับๆ จากองค์กรระดับชาติของประเทศจีนให้มาทำงานที่องค์กรสายลับของประเทศเสียก่อนก็ตามที
พวกความรู้เรื่องการออกแบบสมัยนั้นเทคโนโลยีเฟื่องฟู การประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่นั้นจึงมิใช่เรื่องยาก แค่วาดแบบใส่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็สามารถผลิตชิ้นส่วนประกอบปืนออกมาได้แล้ว
ช่างแตกต่างจากสมัยนี้ยิ่งนัก กว่านางจะวาดภาพ คำนวณขนาดและสื่อความให้ช่างเข้าใจตรงกันก็ใช้เวลานานร่วมปี นี่ยังมินับรวมการทำให้ท่านลุง หรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยอมให้ความร่วมมือนั้นยิ่งมิต้องพูดถึง
กว่า ‘ปืนลูกโม่’ ของนางจะเสร็จสิ้นทุกกระบวนการจนผลิดออกมาจำนวนมากได้นั้นทำเอาหลิวซื่อเฟิงหมกมุ่นอยู่กับมันเกือบห้าปี ไม่ได้คิดย่างเท้าออกจากวังหลวงเลยสักครั้ง
“แล้วนี่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดงั้นหรือ นี่ก็ยังมิถึงเวลาเข้าเฝ้าฮองเฮานี่นา”
หลิวซื่อเฟิงแหงนหน้ามองสาวใช้ผู้เปรียบเสมือนพี่เลี้ยงไปในตัว
“บ่าวจะมาเตือนคุณหนูว่าเย็นนี้คุณหนูอย่าลืมเตรียมตัวนะเจ้าคะ เพราะว่าเย็นนี้ที่วังหลวงมีจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะจากสงครามทางตอนใต้เจ้าค่ะ....ฮองเฮาทรงกำชับมาว่าคุณหนูต้องเข้าร่วม ห้ามป่วยหรือคิดข้ออ้างหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด”
“ย้ำขนาดนี้แสดงว่าท่านพ่อข้าถูกเชิญมาร่วมงานด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ หนนี้คุณหนูต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลิวเจ้าค่ะ บ่าวเตรียมชุดและเครื่องประดับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“เฮ้อ....” หลิวซื่อเฟิงลุกขึ้นมานั่งดีดีพลางถอนหายใจราวกับเรื่องการเข้าร่วมงานเลี้ยงนั้นใช้กำลังแรงกายมากกว่าเรื่องลงสนามประดิษฐ์ของขนาดใหญ่ตรงหน้าตัวเอง “นี่ข้าต้องนั่งปั้นหน้าเป็นตุ๊กตาให้ตาเฒ่า....เอ้อบิดาข้าอีกแล้วหรือนี่”
“โถ่คุณหนู มิคิดถึงนายท่านบ้างหรือเจ้าคะ”
“....”
ไม่คิดถึงเลยสักนิด
หลิวซื่อเฟิงมาอยู่ในร่างนี้ตั้งแต่วัยเยาว์ก็จริงทว่าชายชราผู้เป็นบิดาผู้นั้นของร่างนี้มิเคยแสดงความรักต่อนางในฐานะบิดาเลยสักครั้ง
เส้นความสัมพันธ์อันน้อยนิดขาดสะบั้นลงเมื่อชายชราผู้นั้นเลือกเชื่อคำพูดของเจ้าหน้าที่มากกว่าคำพูดของลูกสาวตัวเอง
“นอกจากนี้ยังมีเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะคุณหนู”
“หืม เรื่องอันใดอีก”
“นี่อย่าบอกนะเจ้าคะว่าคุณหนูลืมเวลานัด”
“เวลานัด?”
“เจ้าค่ะ ก็วันนี้เป็นวันที่ท่านหมอหลวงอู๋ติ้งเกานัดหมายตรวจร่างกายคุณหนูตามพระราชโองการของฮ่องเต้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ป่านนี้ท่านหมอหลวงรออยู่ที่ตำหนักคุณหนูแล้วกระมังจะ....อ้าวคุณหนู นั่นจะไปไหนเจ้าคะ”
เป็นอันรู้ดีว่าร่างกายของหลิวซื่อเฟิงร่างนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเจ็บป่วยง่ายตั้งแต่เด็กดังนั้นด้วยความเป็นอย่างห่วงอย่างสุดซึ้งขององค์ฮ่องเต้จึงมอบหมอหลวงหนุ่มคนเก่งไว้ให้เป็นหมอประจำกายที่ต้องมาตรวจร่างกายเป็นประจำทุกสัปดาห์นั่นเอง
ทุกสัปดาห์!!!
นั่นคือสิ่งที่หลิวซื่อเฟิงมิใคร่ชื่นชอบเวลานี้เลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่ท่านหมอหนุ่มนั่นมาตรวจนาง เขาจะบังคับให้นางดื่มยาสมุนไพรรสขม กลิ่นเหม็นหนึ่งชามใหญ่ตลอด
ตั้งแต่ต้นปีนางมิล้มป่วยแล้ว บอกว่าร่างกายนางแข็งแรง ไม่ป่วยไข้ง่ายๆ แล้วเท่าไหร่หมอหนุ่มคนนั้นก็มิฟังนาง
ดังนั้นสิ่งที่นางทำได้จึงเป็นเพียงหลบหนีการตรวจสุขภาพประจำสัปดาห์เท่าที่สามารถหนีได้
“ข้าไม่อยู่ ฝากเจ้ารับหน้าท่านหมอหลวงแทนข้าด้วยนะ พี่เจียอิงแสนดี”
“อะ อ้าว คุณหนู คุณหนู....”
ร่างบางในชุดเครื่องแบบนางกำนัลชั้นสูงลุกขึ้นจากพื้นหญ้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนใช้กำไลตะขอเกี่ยวสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของตนเองตวัดเกี่ยวส่วนยื่นออกมาของหลังคาเพื่อใช้ดึงตัวเองเคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วงไปบนหลังคาตำหนักนู้นทีนี้ทีอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวร่างเพรียวบางคล่องแคล่วก็หายลับไปจากสายตาสาวใช้ผู้น่าสงสารเสียแล้ว
“คะ คุณหนูของบ่าวสร้างเรื่องอีกแล้ว....”
ทางด้านหลิวซื่อเฟิงเมื่อสามารถขึ้นมาบนหลังคาได้โดยใช้ร่างกายที่ไร้กำลังภายในนี้ อย่างอื่นก็ง่ายแล้วสำหรับสตรีที่หมั่นฝึกฝนร่างกายนี้แม้อ่อนแอจนมิสามารถฝึกฝนกำลังภายในได้แต่นางก็พยายามฝึกวิชาการต่อสู้ที่ตนเองเคยทำได้ในชาติที่แล้วมาจนคล่องแคล่ว
ดังนั้นการเคลื่อนไหวบนหลังคา กระโดดข้ามระหว่างตำหนักแต่ละตำหนักในขณะที่คอยหลบมิให้คนเบื้องล่างเห็นนั้นจึงไม่ยากเลย
หากแต่ใครจะไปรู้เล่าว่าการหนีมาครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในวันนี้จะโดนหมอหลวงหนุ่มรู้ทันจึงมาดักรอแถวเขตรอยต่อระหว่างเขตวังในและเขตไปวังนอก
“เฮ้ย! ท่านหมอมาได้อย่างไรเนี่ย”