บท
ตั้งค่า

สอง งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ 

เวลาดำเนินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ล่วงมาถึงช่วงเย็น...ปลายยามเซิน อันเป็นเวลาที่หลิวซื่อเฟิงจะต้องออกมาจากเขตวังในเพื่อเข้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยชนะจากสงครามทางทิศใต้ให้กองทัพของแคว้น

ความจริงงานเลี้ยงฉลองเริ่มอย่างเป็นทางการในอีกหนึ่งชั่วยามแต่เหตุที่นางต้องไปร่วมงานก่อนเวลาเพราะเป็นอันรู้กันดีว่าที่อุทยานบุปผาหลวงจะมีจัดชมบุปผาของเหล่าสตรีชั้นสูงประกอบด้วยเหล่าฮูหยินเอกของขุนนางทั้งบู๊และบุ๊น คุณหนูจากตระกูลต่างๆ รวมทั้งเหล่าสตรีในราชวงศ์ไล่ตั้งแต่องค์หญิงลงไปยังพระญาติต่างๆ โดยมีแม่งานเป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั่นเอง

วันนี้หลิวซื่อเฟิงสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนด้ายทองลายผีเสื้อโบยบินกลางหมู่มวลบุปผา กระโปรงสีแปดจีบลายสีครามเข็มขึ้นมาหน่อยไล่ลงไปเป็นสีขาว เครื่องประดับบนผมและที่ข้อมือไม่มากดูไม่เยอะรกสายตาจนเกินไป

ชุดนี้ฮองเฮาส่งมาให้นางสวม มิใช่ชุดแปลกใหม่อันใดเป็นรูปแบบพื้นที่ฐานที่สตรีควรสวมเข้าวังในการเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของวังหลวง

เรือนผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นบางส่วนเพื่อรวบปักยึดด้วยปิ่นทองแท้รูปทรงเหมือนนกยุงรำแพงหางฝังไพลิน ยามแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นตกกระทบสะท้อนระยิบระยับ

การแต่งตัวในวันนี้ของนางส่งเสริมให้ความงดงามผุดผาดที่มักถูกเจ้าของร่างปิดกั้นเรียกความสนใจให้สตรีชั้นสูงคนอื่นที่มาถึงก่อนในอุทยานหันมามอง

บ้างชื่นชม

บ้างลอบเหยียดยิ้มด้วยความอิจฉา

บ้างแปลกใจที่มิเคยเห็นสตรีที่โดดเด่นเช่นนี้ในงานสังคมข้างนอกมาก่อน

แน่นอนว่าสายตาพวกนั้นหลิวซื่อเฟิงไม่สนใจ นางเดินด้วยท่วงท่าสง่างามตามสิ่งถูกสั่งสอนมาตลอดหลายปี ย่างกรายผ่านสตรีที่ไม่รู้จักทั้งหลายเหล่านั้นเข้าไปในตำหนักนอกอันเป็นที่ประทับของท่านป้าของนาง

หรือซึ่งก็คือฮองเฮาผู้ซึ่งเป็นแม่งานจัดรวมตัวให้สตรีชั้นสูงมาร่วมชมบุปผาโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงคือการสร้างโอกาสให้สตรีทั้งหลายได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวโดยไม่มีบุรุษเข้ามาเกี่ยวนั่นเอง

“ถวายพระพรเพคะฮองเฮา ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆปีเพคะ”

“อ้าวมาแล้วรึ....เฟิงเอ๋อร์ มิคิดเลยว่าเจ้าจะมาเร็วเช่นนี้”

“แหม องค์ฮองเฮาทรงพูดราวกับปกติหม่อมฉันมาสายอย่างนั้นแหละเพคะ”

หลิวซื่อเฟิงหุบยิ้มทันทีที่เข้าไปนั่งบนพื้นข้างๆ ท่านป้าของตนที่มิวายเอ่ยแซวนางต่อหน้าต่อตาฮูหยินท่านอื่นๆที่ นั่งอยู่ก่อนแล้ว

“แน่นอนว่าป้ามิได้หมายความว่าเจ้ามักมาสายเป็นนิจ หากแต่ปกติแล้วเจ้ามิมาเลยต่างหากเล่าเฟิงเอ๋อร์เอ๋ย....”

“แหมพระองค์ทรงแซวคุณหนูใหญ่หลิวเล่นได้ตลกยิ่งนักเพคะ มินึกเลยว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวโตเป็นสาวไวเช่นนี้ หม่อมฉันได้ข่าวว่าเข้ามารับใช้ฮองเฮาในวังถึงสิบปี ถึงว่าล่ะ งดงามทั้งกริยามารยาทและหน้าตาเชียว”

“ฮะ ฮะ จริงของฮูหยินเสิ่น หลานข้าผู้นี้มารยาทใช้ได้ เรียบร้อยอย่าบอกใครเชียว ฮ่า ฮ่า”

สตรีผู้มากอำนาจสูงสุดในที่นี้ยกพัดขึ้นมาบังริมฝีปากขณะหัวเราะขำขันกับสตรีขี้ประจบโดยมิรู้ธาตุแท้ของหลานสาวที่ตนเองเลี้ยงมากับมือผู้นี้

ฟังแล้วก็ขำขันยิ่งนัก

แล้วนางยิ่งขำท้องแข็งเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเวลาหลิวซื่อเฟิงโดนคนอื่นชมว่าเรียบร้อย

เรียบร้อยดั่งผ้าที่ขยำไว้ล่ะสิฮองเฮาอย่างนางจะมิเถียง

เฮ้อ แต่ก็ผิดที่ตัวเองด้วยที่นางเองมิต้องการบังคับฝืนใจบุตรีของน้องสาวแท้ๆผู้นี้หากเป็นไปได้

เพียงแค่ยามใดรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอยู่ในมารยาทยามใดจึงผ่อนปรนได้ก็เพียงพอแล้ว

“มิทราบว่าคุณหนูใหญ่หลิวปีนี้อายุกี่หนาวแล้วเพคะฮองเฮา”

“อืม สิบหกแล้วผ่านงานปักปิ่นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มีอันใดรึ ฮูหยินว่าน”

“ถึงวัยออกเรือนพอดี บุตรชายของหม่อมฉันยังมิมี....”

“ขออภัยเพคะฮองเฮา หม่อมฉันปวดท้องหนักมิน้อย ขออนุญาติพระองค์ออกไปปลดทุกข์ก่อนนะเพคะ”

หลิวซื่อเฟิงโพล่งขึ้นขัดขวางประโยคที่มิต้องรอฟังให้จบก็รู้ว่าฮูหยินท่านนั้นต้องการพูดเรื่องใด

ยิ่งอยู่นางยิ่งตกเป็นหัวข้อสนทนา แม้ว่าจะต้องเสียมารยาทพูดขัดจังหวะผู้ใหญ่ไปสักหน่อยแต่หลิวซื่อเฟิงไม่ได้ต้องการดูดีในสายตาพวกฮูหยินที่กำลังจับถุงชนให้นางอยู่แล้ว หลิวซื่อเฟิงจึงไม่เกรงใจ

“อะ เอ่อ”

“ไปเถอะ”

ฮองเฮาหรี่ตารู้ทันทว่าก็โบกมือไล่หลานอย่างนางออกจากตำหนักไปอยู่ดีอย่างตามใจ

“ขอตัวเพคะฮองเฮา”

ฟู่ว

ในที่สุดหลิวซื่อเฟิงก็ได้รับอิสรภาพคืนมาสักที พอร่างบางเดินออกมาข้างนอก หญิงสาวรู้สึกบรรยากาศสดชื่นกว่าข้างในมากโข

อุทยานบุปผาหลวงตั้งอยู่ข้างสระบัวบึงใหญ่จึงทำให้บรรยากาศในอุทยานจึงเย็นสบาย ยิ่งมวลหมู่ดอกไม่หลายชนิดบานสะพรั่งยิ่งทำให้บรยากาศโดยรวมดีมิน้อย สตรีชั้นสูงส่วนใหญ่หากมิได้เข้าไปพูดคุยร่วมวงกับฮองเฮาจึงมานั่งจับกลุ่มรวมตัวกันเป็นพรรคพวกอยู่ด้านนอกนี้

หลังจากหลิวซื่อเฟิงได้เป็นสตรีเยาว์วัยคนเดียวที่สามารถเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ตั้งแต่เดินเข้ามาจึงทำให้สตรีเหล่านี้ข้างนอกมองมาที่นางด้วยความอิจฉาริษยาอย่างชัดเจน

ใครจะสนใจพวกนางกันล่ะ

ปกติหลิวซื่อเฟิงมิได้ออกงานสังคมสตรีข้างนอกวังอยู่แล้วจึงมิต้องห่วงเรื่องความอึดอัดเวลาเจอกันข้างนอก

เท้าบางมุ่งหน้าเดินทะลุอุทยานหมายเดินไปนั่งเล่นผ่อนคลายอารมณ์บริเวณแถวบึงบัว

หากแต่นางเดินมาได้ยังมิทันถึงครึ่งทางเสียงสตรีแหลมสูงระคายเคืองหูก็ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทหลิวซื่อเฟิง ทำเอาหญิงสาวอยากเบนทิศทางเปลี่ยนใจไปทางอื่นเลยทีเดียว เนื่องจากเสียงหนวกหูพวกนั้นดันดังมาจากลุ่มสตรีที่ยืนอยู่ข้างบึงบัวที่นางหมายตาพอดี

เฮ้อ ซวยจริงๆ

ฟังจากประโยคสนทนาที่ได้ยินพวกนางเหมือนกำลังรุมรังแกคนอย่างไรอย่างนั้น

“ม้านั่งตรงนี้พวกเราต้องการนั่ง”

“ใช่ พวกข้ามีกันสี่คนพอดีกับม้านั่งตัวนี้พอดี มิทราบว่าคุณหนูลี่หลินเห็นแก่ตัวได้ลงหรือเจ้าคะ มีคนเดียวแท้ๆแต่ดันนั่งม้านั่งยาว”

“แต่....ข้ามาก่อนนะ ข้าเองก็....”

“มาก่อนแล้วอย่างไร ที่คุณหนูมาก่อนเพราะมิมีสหายคุยด้วยกระมังจึงมิมีอันใดทำ เรื่องนี้น่าภาคภูมิตรงไหนกัน จริงหรือไม่พวกเจ้า”

“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะคุณหนูรองหลิว อาจเป็นเพราะทำตัวเช่นนี้กระมังจึงไม่มีสตรีท่านใดอยากคบหา....ช่างไร้น้ำใจ”

“ข้า....มิได้แล้งน้ำใจสักหน่อย พวกเจ้าไยจึงกล่าวข้าเหมือน ปะ เป็นคนผิดกัน”

“อ๋อ ข้าเคยได้ยินข่าวลือจากท่านแม่ว่าคุณหนูตระกูลบู๊อย่างตระกูลลี่มีบุตรีกำพร้ามารดาแถมยังร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อยมักเป็นภาระของผู้ที่อยู่ใกล้....จึงมิมีใครต้องการอยู่ใกล้กระมังเจ้าคะ”

“ข้ามิใช่ตัวภาระนะ พวกเจ้าไยจึงพูดจาเช่นนี้ ขะ ข้า....”

“ทำไมจะไปฟ้องบิดาหรือ”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel