7
ปรนนิบัติรับใช้
การถูกเลือกให้รับใช้ปรนนิบัติคืนนี้ทำให้เจียวจินถูกนางกำนัลฝ่ายเตรียมสนมเข้ารับใช้จับมาขัดตัว อบสมุนไพรให้หอม และแต่งกายเตรียมตัวรอฮ่องเต้เสด็จมาวันนี้
ดีหน่อยวันนี้อากาศยามเย็นไม่หนาวมากนางยืนรอข้างหน้าตำหนักตอนกลางคืนรู้สึกสบายกาย ติดแต่ว่าไม่สบายใจ...
ตามจริงเรื่องบนเตียงนี้เจียวจินไม่กังวลเท่าใดนักหากต้องทำมันกับฮ่องเต้ที่ยังหนุ่มและใบหน้าหล่อเหลาผู้นั้น เพราะในชาติก่อนนางก็เคยมีแฟนมาก็หลายคน เรื่องแบบนั้นก็ทำมาหลายครั้ง แต่เท่าที่สำรวจดูร่างนี้ยังพรหมจรรย์อยู่ เจียวจินไม่ได้อยู่ในยุคสองพันแล้วนางปรับตัวและเข้าใจได้ว่าสตรียุคนี้สิบห้าก็สามารถแต่งงานมีลูกได้
ทว่าติดเรื่องเดียว นางมีความรู้สึกไม่ดีลึกๆที่บุรุษที่นางต้องร่วมเตียงในคืนนี้มีภรรยานับสิบคนที่เขาต้องวนเวียนไปใช้ร่างกายด้วยกัน ซึ่งมันต่างกันกับการที่รู้ว่าแฟนเคยผ่านแฟนเก่าของเขามาน่ะนะ อันนี้มันคือแฟนของตนมีแฟนปัจจุบันหลายคนซึ่งเจียวจินยังทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ นางจึงต้องคิดและเตรียมแผนการไว้สำหรับใช้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คืนนี้ตนต้องปรนนิบัติฮ่องเต้บนเตียงอย่างที่หลังจากนั้นไม่ถูกลงโทษ!
นู่นอย่างไร เกี้ยวฮ่องเต้มาแล้ว เจียวจินที่ใบหน้านิ่งเฉยก็พร้อมแล้ว หยักยิ้มเข้าไว้ เก็บความไม่ยินดีไว้ภายในแสดงความดีใจออกมา
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
เจียวจินรู้สึกประหลาดทันใดเมื่อคิดไปมาว่าการที่ฮ่องเต้คนหนึ่งมาหลับนอนกับสนมไยต้องยิ่งใหญ่และโจ่งแจ้งเพียงนี้เชียวหรือ ความคิดเรื่อยเปื่อยต้องหยุดลงเมื่อฮ่องเต้เสด็จลงจากเกี้ยวมายืนต่อหน้าเจียวจินแล้ว
หน้าที่นางคือพาเขาเข้าตำหนัก
“หนาวหรือไม่ เจียวกุ้ยเหริน”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันยินดีคอยพระองค์ทั้งคืน”
ปากเอ่ยคำหวานไปแต่ในใจของเจียวจินอยากอาเจียนเพราะคำพูดไม่เข้าปากเหล่านั้นสิ้นดี
ว่านกงกงที่ตามมาด้วยเปิดประตำหนักรอแล้ว ทั้งนางและฮ่องเต้จึงเดินเข้าห้องไป ด้วยความที่ตำหนักของเจียวจินเป็นตำหนักเล็กๆเข้าตำหนักมาก็เจอส่วนกลางที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับแขกและมีห้องเดียวก็คือห้องนอนเลย นางตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ให้บุรุษตรงหน้านี้ก้าวเท้าเข้าห้องนอนของนางเป็นเด็ดขาด!
“ฝ่าบาททรงโปรดดื่มชาไหมเพคะ”
ในตำหนักเจียวจินนอกจากสุราดอกท้อแล้วก็มีชาชนิดต่างๆที่ใช้รับแขกได้นี่ล่ะ ซึ่งแน่นอนมันเป็นสูตรเฉพาะของนาง รับรองไม่เคยลิ้มรสชารสชาตินี้ที่ไหนอีกแน่
จื่อหานที่ละสายตาจากการสำรวจตำหนักที่มองภายนอกว่าเล็กแล้วเข้ามาภายในยิ่งเล็กเสียกว่า นึกถึงคำพูดว่าอยากอยู่ห้องเล็กนี้อย่างเดิมแล้วพาลให้แปลกใจไม่รู้จบจริงๆ
“เราไม่ค่อยดื่มชาก่อนนอนเท่าไหร่นัก”
จื่อหานเป็นคนหลับยากเพราะในหัวมีแต่เรื่องต้องคิด หากดื่มชาเข้าไปมิยิ่งนอนไม่หลับหรอกหรือไร
“หม่อมฉันอ่านตำราเจอชาชนิดหนึ่งที่ช่วยให้หลับสบายและบรรเทาเรื่องเครียดเพคะ รับรองว่าไม่ทำให้หลับยากกว่าเดิมแน่นอน”
หากไม่มีการดื่มชาร่วมกันแล้วเจียวจินจะดำเนินตามแผนตนเองได้อย่างไรเล่า
“ได้สิ”
จื่อหานก็อยากรู้ว่าชาที่ว่าคืออันใดเหมือนกัน สายตาของเขาจ้องมองนางหยิบใบพืชชนิดหนึ่งที่ยังสดอยู่ออกมา เทน้ำร้อนที่เตรียมไว้ และตบท้ายด้วยผิวของมะนาวโรยบนหน้าผิวชา
“เป็นชาป้อเหอ ที่เพิ่มกลิ่นและรสชาติที่กลมกล่อมด้วยผิวมะนาวเพคะ ช่วยทำให้ผ่อนคลายและ บรรทมไปหลับสบายได้เป็นอย่างดี”
เจียวจินไม่ลืมทำให้เผื่อของตนเองเช่นกัน เพียงแต่นางเพิ่มส่วนผสมเล็กน้อยสำหรับของนางและดื่มตาม
“ชาดี มิรู้ว่าเจียวกุ้ยเหรินก็มีความรู้เรื่องชาด้วย ไหนจะมีโชคเรื่องบังเอิญพบหลายสิ่งที่ใครหลายคนไม่พบแล้ว”
ดีที่นางกลืนชาลงคอไปแล้ว มิเช่นนั้นอาจสำลักกับคำเอ่ยจิกกัดของบุรุษตรงหน้าได้!
“ขอบพระทัยที่ตรัสชมเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากพบเรื่องบังเอิญบ่อยเท่าไรเพคะ อย่างไรเสียพบไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดอยู่ดี”
พูดไปทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ เจียวจินทำอย่างกับว่าคำพูดของนางไม่ได้กำลังต่อว่าคนตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
“ตามจริงสิ่งที่เจ้านำมาบอกนั้นเราเก็บไว้พิจารณา และกำลังสืบต่ออยู่ เพียงแต่ยังไม่ได้ผลสรุปเท่านั้น มิใช่เสียเปล่าอันใดหรอก...”
อา หากเจียวจินเดาไม่ผิด นางคิดว่าสนมที่เจ้าเฮยเอ๋อร์ชี้ตัวนั้นไม่น่าใช่คนสร้างเรื่องเหล่านี้ออกมา บุรุษตรงหน้าอาจกำลังสงสัยเช่นกันกระมัง
ก็เป็นเช่นนั้นได้จริง หากมีใครตั้งใจนำถุงปักที่บรรจุผงพิษไปไว้ในห้องสนมที่กลายเป็นแพะรับผิดแทนแล้วบังเอิญเฮยเอ๋อร์ไปเจอก็เป็นไปได้ นี่อาจเป็นสาเหตุให้ฮ่องเต้ไม่เปิดเผยสิ่งที่เจียวจินเจอแต่ยังคงเก็บไว้เป็นความลับและสืบหาต่อไป
ส่วนเรื่องที่ทรงไม่หักหน้าไป๋ซูเฟยที่ตัดสินใจเช่นนั้นเพราะเหตุใดกันนะ...
หากวิเคราะห์กันที่โครงสร้างวังหลังของฮ่องเต้ตรงหน้านี้ การที่เขามีพระชายาเพียงพระองค์เดียวคือไป๋ซูเฟย แต่ยังไม่ตั้งเป็นฮองเฮาเสียทีย่อมมีเหตุผลแน่ เพียงแต่นางยังไม่รู้ก็เท่านั้น แต่หากเดาจากสิ่งที่เพิ่งเผชิญมาอาจเป็นไปได้ที่ไป๋ซูเฟยมีสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้องเกรงใจบ้าง ซึ่งคงไม่พ้นตระกูลไป๋เป็นแน่
หากไป๋ซูเฟยถูกหักหน้า ย่อมกระทบถึงตระกูลไป๋ หากเขาไม่อยากให้ตระกูลไป๋ไม่พอใจทำเช่นนี้ก็ถูกเช่นกัน และการที่เสด็จมาหาเจียวจินแทนที่จะเป็นไป๋ซูเฟยที่เพิ่งจับคนร้ายได้สมควรให้รางวัลและรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับสนมคือการเสด็จไปเยี่ยม นั่นหมายความว่ากำลังสื่อเป็นในให้ไป๋ซูเฟยรู้ว่าฮ่องเต้มิใช่หมู ที่หลอกให้เชื่อง่ายๆกระมัง
“แล้วอี้เจาหรงก็ต้องถูกลงโทษจริงๆหรือเพคะ”
จื่อหานหันสบตาคนพูดทันใด นี่นางกำลังสงสารและกำลังทวงหาความยุติธรรมแทนคนอื่นอย่างนั้นหรือ ?
เขามิคิดมาก่อนว่าจะเจอสนมที่รักความยุติธรรมเสียยิ่งกว่าการทำให้ตนขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด เฉกเช่นสตรีตรงหน้า
“หึ วังหลังนี้มิใช่ศาลให้เจ้าถามหาความยุติธรรมหรอกนะเจียวกุ้ยเหริน อำนาจเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าอยู่รอดได้ จำเอาไว้...”
ขนาดเขาผู้เป็นฮ่องเต้แคว้น จะเลือกป้ายสนมที่มาเยี่ยมทียังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย ซึ่งในอนาคตเขาจะต้องเป็นฮ่องเต้อย่างเต็มตัวที่ไม่ต้องสนใครหน้าไหนให้ได้ ถึงเวลานั้นเขาจึงวางใจสร้างครอบครัวเสียที
บทเรียนในวัยเด็กที่ต้องมองมารดาฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตัวคนเดียวจนสามารถยืนบนจุดสูงสุดได้นั้นทำให้เขาตั้งปณิธานไว้เช่นนี้
“ส่วนเรื่องอี้เจาหรงเจ้าไม่ต้องกังวลไป ตระกูลนางไม่ปล่อยให้นางตายง่ายๆหรอก”
เจียวจินพยักหน้ารับ นางควรคิดเรื่องตนเองให้อยู่รอดในวังหลังนี้มากกว่าสินะ นางตัวคนเดียวไร้ตระกูลที่มีอำนาจคุมกันหัว
“เอ่อ หากเรื่องที่หม่อมฉันช่วยเหลือเป็นประโยชน์ พระองค์ไม่คิดประทานรางวัลให้หม่อมฉันหน่อยหรือเพคะ”
บรรยากาศเคร่งขรึมพลันเปลี่ยนสิ้นเชิง จื่อหานมองตาที่เป็นประกายของสตรีตรงหน้าแล้วนึกขบขันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เรื่องประทานรางวัลนั้นขึ้นกับดุลพินิจของเขา หาได้มีใครเคยเอ่ยขอต่อหน้าไม่
ท่าทีมองอย่างขบขันราวนางทำสิ่งตลกนั่นทำเอาปากที่หยักยิ้มอยู่กระตุกทันใด
นางกำลังทำอันใดผิดไปอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าอยากได้สิ่งใดล่ะ ลองว่ามาสิข้าจะคิดดูอีกทีว่าให้หรือไม่”
เยี่ยมเลย!
“หม่อมฉันขอเงินเพคะ มากเท่าใดแล้วแต่พระองค์จะเห็นว่าเหมาะสมเลย แล้วก็ขอให้ทรงรับสั่งให้หม่อมฉันอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อไป มีข้าวสามมื้อกินครบเท่านี้เพคะ”
“เท่านี้หรือ?”
เห็นนางเอ่ยปากขอรางวัล เขาก็นึกว่าจะมากเสียหน่อย ทว่าสิ่งที่นางบอกนั้นน้อยยิ่งนักจนน่าประหลาดใจ อีกทั้งรางวัลที่นางขอกลับเป็นเกี่ยวกับตำหนักเล็กๆนี่อีก
ตำหนักเล็กๆหลังนี้มีอันใดให้น่าอยู่กัน
“เท่านี้เลยเพคะ”
หากขอเลื่อนขั้นนั้นมีข้อดีตรงอำนาจนางจะมากขึ้นก็จริง แต่มันก็ตามมาด้วยศรัตรูที่มากขึ้นไปด้วย เจียวจินมีเป้าหมายอยากออกไปใช้ชีวิตสงบนอกวังหลังแห่งนี้ ฉะนั้นตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งออกยาก นางไม่ต้องการหรอก
“เอาเถอะ ไว้เราจะจัดการให้ วันนี้เรารู้สึกง่วงแล้ว ควรแก่เวลาต้อง...”
ถึงเวลาร่วมหลับนอนแล้วหรือ อย่างนั้นแผนการของเจียวจินก็เริ่มได้แล้วสิ!
“โอะ หม่อมฉันรู้สึกคันมากเลยเพคะ...”
ไม่รอให้ฮ่องเต้หนุ่มพูดจบ เจียวจินยื่นแขนขึ้นมาใช้มืออีกข้างเกา ไม่นานก็บนผิวกายของนางก็ขึ้นผื่นแดง พอมองสีหน้าของบุรุษที่ก่อนหน้าง่วงซึมแต่ตอนนี้ขมวดคิ้วมุ่นถอยหลังหลายก้าวก็ขอแอบหยักยิ้มชอบใจไว้หน่อยแล้วกัน
“ใครอยู่ข้างนอกไปตามหมอหลวงมาให้ที!...”
เจียวจินผื่นขึ้นตัวขนาดนี้ฮ่องเต้หนุ่มคงไม่มีอารมณ์ร่วมหลับนอนกับนางแล้วล่ะนะ...
เจียวจินรอดพ้นคืนที่ต้องพลีกายปรนนิบัติฮ่องเต้มาแล้ว หลังจากที่หมอหลวงมาตรวจพบว่านางแพ้เกสรดอกไม้ที่น่าจะเผลอสูดดมเข้าไปเมื่อตอนเย็นแล้วเพิ่งมาแสดงอาการ แล้วฮ่องเต้ก็เสร็จกลับไปหลังจากนั้น
ร่างกายนี้แพ้เกสรดอกไม้ชนิดหนึ่งจริง นางค้นพบเมื่อคราวหนึ่งที่ไปเดินเล่นที่สวนแล้วเกิดแพ้มีอาการเช่นนี้แต่ทิ้งไว้สักพัก พักผ่อนปกติเดี๋ยวมันก็หายไปเอง วันนี้นางจึงให้อิงอิงไปเก็บดอกไม้ชนิดนั้นมาเพื่อให้อาการกำเริบนั่นเอง
เช้าวันนี้เจียวจินตื่นมาด้วยใบหน้าผ่องใส นางชงชามาดื่มและนั่งชมยามดอกท้อร่วงหล่นที่ใต้ต้นหน้าตำหนักของนางเอง
“หึ เมื่อคืนปรนนิบัติฝ่าบาทอย่างไรให้พระองค์รีบหนีไปจากตำหนักเร็วเพียงนั้นกันล่ะ”
เจียวจินรู้สักพักแล้วว่ามีกลุ่มคนเดินมาทางนาง เพียงนางไม่สนใจเท่านั้นเอง แม้นเสียงแหลมหูที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเสียดสีจะจู่โจมมาที่นางก็ตาม นางก็ทำเพียงเบนหันไปอีกทางเท่านั้น
“นี่จินเจี๋ยวยวี๋ตรัสกับท่านนะไยกล้าเมินได้!”
นางกำนัลติดตามเอื้อมมือคว้าไหล่เจียวจินให้หันกลับมาแต่กลับวืดเซจนเกือบล้มเมื่อเจียวจินหันกลับมาได้จังหวะพอดี
“อา หม่อมฉันดื่มชาเพลินไปหน่อยจึงไม่ได้ยินเพคะ คารวะพี่สาวเพคะ”
เจียวจินวางถ้วยชาลงและยืนย่อให้อย่างที่ควรทำ ก่อนยืนมองสตรีมากเครื่องประดับตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ทำเอาคนถูกมองเหมือนกำลังถูกท้าทายไปเสียแล้ว
“ใครพี่สาวเจ้า ข้าเป็นสนมชั้นสูงส่วนเจ้าเพียงชั้นล่างริอาจทำตนเสมอนายอย่างนั้นหรือ?”
เจียวจินก็ว่านางอยู่เฉยๆแล้วนะ ใยคนตรงหน้ามีท่าทีเหมือนมาไม่พอใจอันใดได้ เฮ้อ
“หม่อมฉันมิบังอาจ แต่ว่าเมื่อคราวก่อนไทเฮาตรัสว่าให้เราอยู่กันอย่างครอบครัวเดียวกัน หม่อมฉันนับถือพระองค์เป็นพี่คงบังอาจไปกระมัง”
เอาสิ สนมชั้นสูงอันใดจะกล้าขัดคำสั่งไทเฮาหรือไร
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ข้ามาวันนี้เพราะนำของขวัญแสดงความยินดีที่เจ้าได้รับใช้ฝ่าบาทเพียงเท่านั้น รับไปเสียสิ”
นางกำนัลติดตามรีบยื่นกล่องใส่ขนมให้เจียวจินซึ่งอาฟางรับมาแล้ว
“ขอบพระทัยเพคะ อย่างนั้นหากพระองค์ไม่มีธุระอันใดหม่อมฉันขอเข้าตำหนักก่อน...”
“พระสนมให้ขนมแล้วพระองค์ไม่เสวยเลยหรือเพคะ?”
เจียวจินจ้องมองนางกำนัลคนที่ที่มีรอยยิ้มมุมปากนิ่ง ในขนมคงมีพิษบางอย่างกระมัง ถึงได้คะยั้นคะยออยากให้นางกินเดี๋ยวนี้ทันที ทว่าพวกนางไม่รู้อยู่ในวังหลังมาจนป่านนี้ได้อย่างไรกัน ขนาดจะกลั่นแกล้งคนยังทำโจ่งแจ้งเพียงนี้ ทั้งเจ้านายและบ่าวสีหน้ารอคอยที่จะเห็นเจียวจินถูกพิษอะไรไม่รู้มากจนน่าขัน
“หม่อมฉันท้องไม่ดี เดี๋ยวไว้ทานมื้อเช้าแล้วจะรีบทานขนมเลยนะเคะ ขอตัวก่อน”
เจียวจินเดินกลับเข้าตำหนักมา ส่วนนายบ่าวที่ไม่เห็นพวกนางกินขนมกับตาก็จำใจต้องเดินกลับไปอย่างทำอะไรไม่ได้
“เอาขนมนี้ไปทิ้งแถวตำหนักซูเจี๋ยยวี๋ก็แล้วกัน พวกเราห้ามกินทุกคนแต่เสียดายที่นางอุตส่าห์ทำมาก็ให้สัตว์เลี้ยงนางกินแทนก็แล้วกัน”
ซูเจี๋ยยวี๋ผู้นี้มีสุนัขเลี้ยงหลายตัว เนื่องจากที่บ้านนางเป็นขุนนางใหญ่จึงมีนิสัยขี้ตามใจจนติดมาถึงที่นี้ เจียวจินแม้ไม่สนใจในการเป็นสนมที่ดีหรือการแข่งขันใด แต่นางจำเป็นต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานและจุดอ่อนของทุกคนในวังหลัง ซึ่งหาได้จากการไปติดสินบนฝ่ายทะเบียนให้ช่วยนำหนังสือบันทึกประวัติคร่าวๆของพระสนมทั้งหมดมาให้ กว่าจะได้มาเจียวจินก็เสียทรัพย์สินไปแทบหมดก้อนที่ได้มาจากการที่นางถูกบันทึกกลับเข้าในทะเบียนใหม่ครานั้นเลย
แต่เงินนั้นเมื่อยังมีลมหายใจหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความรู้นั้นนางจำเป็นต้องมีเพื่อใช้ในการเอาตัวเองให้รอดเพื่อไปหาเงินนั่นเอง
“เอ่อ จะดีหรือเพคะ”
สีหน้าอาฟางดูหวั่นเกรงจนเจียวจินต้องรีบเอ่ยต่อ
“ในขนมมีพิษไม่แรงหรอก อาจแค่ทำให้ท้องร่วงหรืออาการป่วยเล็กน้อย เจ้าคิดว่านางจะนำพิษถึงตายใส่ในขนมและนำมาให้ข้าอย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้เชียวหรือ ไปเถอะ”
อาฟางเดินจากไปไม่นานเจียวจินยังไม่ทันนั่งลงเก้าอี้อิงอิงก็วิ่งเข้ามารายงานว่าข้างนอกมีคนมาขอพบอีกแล้ว
แต่คราวนี้เป็นว่านกงกงมิใช่สนมอีกแล้ว
“เชิญนั่งก่อน กงกง”
“ไม่รบกวนเจียวกุ้ยเหรินหรอก กระหม่อมเพียงนำพระราชโองการของฝ่าบาทมาเท่านั้นเอง เจียวกุ้ยเหรินรับราชโองการ”
อ้อ อาจจะเป็นรางวัลที่นางขอไปเมื่อคืนกระมัง
“ฝ่าบาทพระราชทานตำลึงทองหนึ่งหีบ ผ้าสำหรับตัดไว้สวมใส่ เครื่องประดับหยกสองชุด และตรัสอวยพรให้พระองค์ประทับอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้อย่างเป็นสุข...”
อืม เจียวจินฟังแล้วก็อุ่นใจ ที่นางจะมีทรัพย์สินไว้ใช้ในการติดสินบนคนในวังหลังหาพรรคพวกอย่างลับๆบ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่าความหน้าด้านกล้าเอ่ยขอไปเมื่อวานจะทำให้คนจนกลายเป็นร่ำรวยได้ในพริบตา
เฮ้อ สุขใจยิ่งนัก เดี๋ยวนางจะซื้ออาหารมาให้เจ้าเฮยเอ๋อร์มากๆ เลี้ยงฉลองเสียหน่อยแล้ว...
“ด้วยฝ่าบาททรงเล็งเห็นว่าเจียวกุ้ยเหรินนั้น ทรงมีสิริโฉมงดงามอย่างดอกไม้บานแรกแย้ม จึงทรงประสงค์เลื่อนขั้นให้เป็นพระสนมชั้นเอก ซิวเยวี่ยน นับแต่นี้ หวังว่าพระสนมจะรักษาความดีและงดงามให้ยิ่งๆต่อไป”
เจียวจินฟังผิดไปกระมัง เลื่อนตำแหน่งอันใดนางไม่ได้ขอไปนะเมื่อวานนี้ ! นางไม่เอานางไม่อยากได้เสียหน่อย
“ว่านกงกง ท่านอ่านผิดหรือไม่ ?”
ว่านกงกงแย้มยิ้มตอบกลับมาคราวนี้ก็เหมือนกับเอาของแข็งมาทุบศีรษะเจียวจินให้ไร้สติไป
“ไม่ผิดเลย ยินดีกับเจียวซิวเยวี่ยนด้วย ตั้งแต่ฮ่องเต้จื่อหานครองราชย์มาพระองค์คือคนแรกที่ได้เลื่อนขึ้นจากสนมชั้นล่างขึ้นมาเป็นพระสนมชั้นเอกแบบก้าวกระโดด ยินดีด้วยจริงๆ”
อ้าก! เจียวจิวอยากใช้ชีวิตชิลๆเข้าใจไหม ฮือ ฮ่องเต้บ้าอำนาจผู้นั้นมิใช่กำลังกลั่นแกล้งนางใช่ไหม ใครก็ได้บอกที...
