บทที่ 3 องค์ชายใหญ่
“ไปกันเถอะคุณชายน้อย ข้าขอพ่อเจ้าได้แล้ว”
“ดีมาก! อย่าลืมเลี้ยงดูปูเสื่อข้าอย่างดีตามที่เจ้าสัญญาด้วยเล่า”
“เจ้ามีแต่รีดไถข้าเช่นนี้เมื่อไหร่ข้าจะมีเงินเก็บได้” มือปราบหนุ่มพึมพำ ยามที่นางต้องการสิ่งใดก็ล้วนเป็นเขาที่ต้องควักจ่าย สุดท้ายเขาก็ต้องเป็นหนี้นาง
“เสี่ยวเหวิน เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด”
“นี่เจ้าว่าข้าโง่งั้นหรือ?”
“นั่นเจ้าสรุปเองนะ อย่าโมโหไปเลย ต่อไปข้าจะเก็บเงินเผื่อเจ้าก็แล้วกันวันใดเรามีโอกาสได้ไปท่องยุทธภพข้าย่อมพาเจ้าไปด้วยแน่นอน” นางตบบ่าเขาอีกสองแปะปลอบใจ
“เจ้าพูดแล้วนะ รักษาสัจจะด้วย”
“ข้านักสืบซิน คำไหนคำนั้น”
“ดี!”
โรงน้ำชาใบไผ่สาขาเป่าจูอยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมไข่มุก อาคารทั้งสองหันหน้าเข้าหาทะเล เพียงเดินข้ามถนนก็จะไปถึงชายหาดเมืองเป่าจูแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองท่าแห่งเดียวของแคว้นจิน หลังจากที่องค์ชายจินเสวี่ยหลงหรือปัจจุบันคือท่านอ๋องใหญ่ได้ไปสำรวจเส้นทางการค้าทางทะเลเมื่อปีก่อนมาจนทั่วจึงได้เริ่มลงทุนขยายท่าเรือเพื่อหวังให้แคว้นจินได้ส่งออกสินค้า บัดนี้มีโรงต่อเรือขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นที่เมืองเป่าจูทำให้เมืองเล็กๆ ชายทะเลแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของคนจากเมืองอื่นๆ ในแคว้นที่เริ่มขนสินค้ามาเพื่อส่งไปขาย เรือใหญ่นำสินค้าออกไปส่งยังแคว้นเหลียนและแคว้นผิงที่อยู่มีท่าเรือใหญ่และอยู่ถัดไปจากแคว้นจิน การคมนาคมทางน้ำทำให้การขนสินค้าสะดวกสบายและทำให้เมืองเป่าจูกลายเป็นเมืองสำคัญขึ้นมาในเวลาไม่นานนัก
“เร็วเข้า! คนจองโต๊ะด้านหน้าเต็มหมดแล้ว ข้าไม่อยากนั่งล่ะ ประเดี๋ยวได้ยินไม่ถนัด” นางจูงมือญาติผู้พี่เดินซอกแซกเข้าไปด้านใน “มีโต๊ะพอดี” เหลียงเจินซิน หย่อนก้นลงเบาะแล้วฉุดพี่ชายให้นั่งตาม “เสี่ยวเหวินอย่าช้าสิ!”
ไม่นานนักคนก็ทยอยเข้ามานั่งโต๊ะด้านหลังจนเต็ม ที่เหลือไม่มีโต๊ะก็ขอเก้าอี้เสริม สุดท้ายก็ยังคงมีคนที่จำเป็นต้องยืนมุงอยู่ข้างนอก
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน โรงน้ำชาใบไผ่สาขาเป่าจูเพิ่งมาเปิดที่นี่เป็นวันแรก สาขานี้นับเป็นสาขาที่สอง สาขาแรกของเรานั้นตั้งอยู่ที่เมืองหลวง หากทุกท่านได้ไปเยือนก็อย่าลืมไปแวะเวียนกันได้ นักเล่านิทานที่เราเชิญมาในวันนี้เป็นผู้ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ขอเชิญท่านพบกับท่านผู้เฒ่าเซียง.....” ผู้ดูแลสาขาเป่าจูทอดเสียงยาวเร่งเร้าความสนใจ กลองใหญ่ด้านหลังรัวจังหวะรับ เหลียงเจินซินรู้สึกตื่นเต้นจนต้องหันไปเขย่าแขนญาติผู้พี่
“ข้าตื่นเต้นจริงๆ เลย ครั้งแรกที่จะได้ฟังนักเล่านิทานจากเมืองหลวง”
“ใจเย็นๆ ต่อไปจะมีเล่านิทานแทบทุกวัน ขี้คร้านเจ้าจะเบื่อ”
“สวัสดีท่านผู้ชมที่น่ารัก ข้าคือผู้เฒ่าเซียงแห่งเมืองจิน เรื่องแรกในวันนี้จะเล่าเรื่องที่สตรีน้อยใหญ่ทั่วแคว้นกำลังให้ความสนใจ นั่นคือองค์ชายใหญ่จินเสวี่ยหลงของพวกเรา หรือในยามนี้ได้รับการเลื่อนยศเป็น ท่านอ๋องใหญ่.......”
“เสี่ยวเหวิน องค์ชายผู้นี้คือคนที่ท่านพ่อข้าเคยไปต้อนรับเมื่อคราวก่อนใช่หรือไม่?” นางหันไปเขย่าแขนพี่ชายอีกครั้ง
“อืม...องค์ชายใหญ่แคว้นเราก็มีคนเดียวนี่”
นางค่อยๆ เยื้องย่างขณะขบคิดนิทานที่เพิ่งฟังจบ “ท่านอ๋องใหญ่ผู้นี้โหดร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ แค่ไม่พอใจก็ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาเทียว แล้วผู้ใดจะกล้าเข้าใกล้เขากันล่ะ”
“เจ้าไม่ได้หรือไร? ผู้เฒ่าเซียงคนนั้นก็บอกแล้วนี่ว่า ฉายาเขาคืออ๋องอสูร หนังสือนั่นเจ้าก็ซื้อมา กลับไปค่อยๆ อ่านก็ได้” มือปราบหนุ่มชะโงกดูหนังสือเล่มบางในมือของนาง หลังจากนักเล่านิทานเล่าเรื่องขององค์ชายใหญ่จินเสวี่ยหลงจบแค่ครึ่งแรกก็หยุดเล่าพร้อมนำหนังสือเล่มบางที่เขียนเรื่องราวตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบันของท่านอ๋องใหญ่ออกมาขาย บรรดาสตรีน้อยใหญ่ต่างยื้อแย่งกันซื้อราวกับได้เปล่า
เหลียงเจินซินยกหนังสือเล่มนั้นขึ้นแนบหน้าอก “แน่นอนว่าข้าจะตั้งใจอ่านเรื่องของเขาเป็นอย่างดีและละเอียดละออเป็นแน่ สักวันข้าจะต้องไปดูเขาให้เห็นกับตาให้ได้ว่าเขาเป็นอย่างที่นักเล่านิทานและนักประพันธ์ผู้นี้เขียนไว้หรือไม่?”
“แสดงว่ายามนี้เจ้าเริ่มไม่รักชีวิตแล้วล่ะสินะ ถึงได้อยากจะไปเฉียดกรายอ๋องอสูรผู้นั้น ข้าเปิดดูด้านในหนังสือเห็นมีภาพเขาอยู่ด้วยนี่ เจ้าดูหรือยัง?”
“ไหนๆ ทำไมข้าไม่เห็น?” นางรีบเอาหนังสือออกมาพลิกดูหาภาพอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เจอภาพลายเส้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะถือทวน ทว่าใบหน้ากลับสวมหน้ากากอสูรร้ายในเทศกาลเสียได้ “ไม่เห็นมีใบหน้าเลย ตกลงหน้าตาเขาเป็นอย่างไรกันแน่?”
“เจ้าคิดว่าคนประพันธ์หนังสือนี้จะเคยเห็นท่านอ๋องใหญ่อย่างนั้นหรือ? ผู้เฒ่าเซียงก็บอกแล้วอย่างไรว่าท่านอ๋องผู้นี้พบเจอได้ยากนัก แล้วคนธรรมดาจะได้เจอเขาได้อย่างไร? นี่คงทำได้แค่จินตนาการรูปร่างตามคำบอกเล่าแล้วอาศัยว่าชื่อเสียงของเขาดูน่ากลัวก็เลยวาดใส่หน้ากากเข้าไป”
นักสืบซินได้ยินเรื่องราวที่นางฟังดูเหลือเชื่อแล้วสัญชาตญาณนักสืบก็พลุ่งพล่าน นางอยากจะรู้นักว่าท่านอ๋องอสูรจะโหดร้ายสมดังคำเล่าลือหรือไม่?
“เสียดายจริงที่ท่านอ๋องใหญ่อยู่ถึงเมืองหลวง หากข้าจะไม่สืบดูเรื่องจริงก็คงต้องเดินทางหลายวัน ท่านพ่อก็คงไม่อนุญาต” นางนึกถึงตรงนี้ได้แต่หดคอ ไหล่ตก
“เจ้าจะอยากรู้เรื่องเขาไปทำไมกัน? คนระดับนั้นมิใช่คนที่เจ้าจะย่องเบาแอบเข้าวังไปดูได้ง่ายๆ” ไป๋ฉิงเหวินส่ายหัวเมื่อนึกถึงสภาพญาติผู้น้องที่คิดจะไปแอบสืบเรื่องของท่านอ๋องจินเสวี่ยหลง “ข้าได้ยินมาว่าจวิ้นอ๋องน้องเขยของท่านอ๋องใหญ่ได้นำองครักษ์เงาจากแคว้นหมิงมาคอยคุ้มครองคนในครอบครัว”
“องครักษ์เงางั้นหรือ? ทำไมนักเล่านิทานไม่เห็นเล่าเรื่องนี้เลย?”
“จะเล่าได้อย่างไรกัน? นี่เป็นความลับของทางการ เจ้าเองรู้แล้วก็หุบปากไว้ให้แน่นๆ องครักษ์เงาเหล่านี้ไม่เปิดเผยโฉมหน้า อารักขาโดยไม่ให้เห็นตัว ไม่มีผู้รู้จักชื่อจริง ผู้เป็นนายต้องเรียกด้วยรหัสลับเท่านั้น ซ้ำยังสั่งการได้เฉพาะผู้เป็นนายโดยตรง หากเจ้าคิดจะเข้าตำหนักท่านอ๋องใหญ่ยามนี้อาจจะตายเพราะฝีมือองครักษ์เงาเหล่านี้ก่อน”
***********************
