บทที่ 2 คุณชายน้อย
“ท่านพ่อ ข้าได้หลักฐานสำคัญมาแล้ว” เสียงของไป๋ฉิงเหวินดังพอจะทำให้หัวหน้ามือปราบหลุดจากภวังค์ เมื่อหันไปเห็นหลานสาวตัวป่วนมากับลูกชายก็นึกรู้ในทันที
“นี่พวกเจ้าได้สิ่งใดมายืนยันบ้าง? ข้าปวดหัวจะแย่แล้ว อาวุธสังหารก็ไม่เจอ ร่องรอยคราบเลือดบนตัวผู้ต้องสงสัยก็ไม่มี”
มือปราบหนุ่มยื่นสิ่งที่ได้มาให้ท่านพ่อของตนดู หัวหน้ามือปราบเปิดอ่านจดหมายทั้งสี่ฉบับแล้วก็ยิ้มออกมา “ดี! เรียกมือปราบกัวเข้ามานี่” บุตรชายรีบออกไปตามรองหัวหน้ามือปราบเข้ามาโดยไว ไป๋มู่หลิวรีบให้นำกำลังคนไปจับกุมผู้ต้องสงสัยมาขังคุกเสีย บัดนี้มีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้ตายแล้ว
หลังการสอบเค้นอยู่หนึ่งคืน ผู้ต้องหาจึงให้การรับสารภาพ เหลียงเจินซินไม่ กล้ากลับจวนเจ้าเมืองนางจึงหลบไปอยู่บ้านของญาติผู้พี่ กระทั่งเช้าเมื่อท่านน้าคุมตัวผู้ต้องหาไปค้นมีดเล่มนั้นพร้อมกับผ้าที่เขาใช้คลุมร่างตนเองก่อนจ้วงแทงผู้ตายพบแล้ว นางจึงให้มือปราบฉินที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของท่านน้าพานางไปส่งที่บ้าน
“มือปราบฉิน ท่านอย่าลืมว่าข้าลำบากเพียงใดในการหนีท่านพ่อมาช่วยพวกท่านสืบคดีในครั้งนี้ หากท่านสรรเสริญเยินยอข้าน้อยไปเพียงหนึ่งประโยค ข้าย่อมมีโอกาสถูกท่านพ่อขังลืมถึงสามวัน ท่านเข้าใจหรือไม่?”
ฉินหลิ่งซานอมยิ้มพร้อมส่ายศีรษะดูสาวน้อยที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็กด้วยความเอ็นดู “สบายใจได้คุณหนู ข้าจะสรรเสริญท่านมิให้ขาดตกบกพร่อง จนกว่าท่านเจ้าเมืองจะบอกให้ข้าหยุดพูดเลยเทียว”
“สมแล้วที่ท่านน้าไว้วางใจให้ท่านเป็นผู้มาส่งข้าทุกครั้ง คราวก่อนท่านกล่าวได้เลิศเลอจนท่านพ่อทนไม่ไหวต้องตบรางวัลข้า เอาแบบนั้นก็แล้วกัน”
มือปราบฉินได้รับการขนานนามว่าจอมเยินยอแห่งเป่าจู เขามีฝีปากในการชื่นชมผู้คนอย่างดีเลิศ หลายคราที่เจ้าเมืองเป่าจูได้ฟังถึงกับเคลิบเคลิ้มจากที่คิดจะลงโทษบุตรสาวให้สาสมกลับต้องรีบหยิบยื่นข้าวของเงินทองให้เป็นของรางวัล ซ้ำยังให้รางวัลฉินหลิ่งซานในฐานะบุคคลเยินยอจนเต็มอิ่มเสียอีกด้วย เหลียงฮุ่ยฟู่เคยกล่าวถึงคนผู้นี้ไว้ว่า “หากเขาได้เป็นขันทีคงรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นกงกงแน่เทียว ฝีปากที่เอ่ยชมจนแทบจะล่องลอยถึงสวรรค์เพียงนี้ ซ้ำยังเยินยอได้โดยไม่มีความละอายแม้แต่นิด สีหน้าไม่เคยเปลี่ยนสีดูมีความจริงใจขั้นสุดยอดทีเดียว”
เมื่อได้ยินคุณหนูเหลียงถ่ายทอดคำชมที่บิดาของนางมีให้เขาเช่นนั้น สีหน้าของฉินหลิ่งซานคราแรกก็ชาพอสมควร แต่เมื่อมาส่งนางบ่อยครั้งเข้า เขาก็คิดได้ว่าตนเองก็ทำเช่นที่ท่านเจ้าเมืองว่าไว้จริง จึงไม่คิดกระดากที่จะสรรเสริญเยินยอสองพ่อลูกนี้ต่อไป ชนิดไม่ได้รางวัลไม่เลิกชื่นชม!
“เจ้าได้ยินเรื่องโรงน้ำชาที่ใหม่หรือไม่? สาวใช้ที่บ้านข้าตื่นเต้นกันยกใหญ่ เมื่อเช้านางตามพ่อครัวไปตลาดได้ยินเข้าเอามาคุยเป็นคุ้งเป็นแคว”
“อ้อ! ข้าไปดูมาแล้ว วันนี้วันเปิดโรงน้ำชาใบไผ่ พวกมือปราบก็ได้รับเชิญกันทุกคนนั่นแหละ ได้ยินว่ามีขนมอร่อยตั้งหลายอย่างเทียว” ไป่ฉงเหวินรู้ว่าญาติผู้น้องของตนย่อมพลาดเรื่องขนมมิได้
“เจ้าขอท่านพ่อให้ข้าหน่อยสิ หากข้าขอเองเกรงว่าจะมิได้ไป”
“ได้! แต่เจ้าต้องรับปากว่า เสร็จจากไปโรงน้ำชาแล้วต้องช่วยข้าไปดูเรื่องหนึ่ง” มือปราบหนุ่มคิดไว้แล้ว การมาพบนางวันนี้เขามีจุดประสงค์แอบแฝงตั้งแต่แรก
“ที่แท้ เจ้าก็คิดจะขอความช่วยเหลือจากนักสืบซินผู้นี้อยู่แล้วนี่เอง ว่าแต่เงินรางวัลคราวก่อนข้ายังไม่ได้ส่วนแบ่งเลยนะ” เหลียงเจินซินยื่นมือออกมา หงายฝ่ามือกระดิกนิ้วเพื่อให้ญาติผู้พี่ส่งมอบรายได้ของนางออกมา
“เจ้านี่งกเหลือเกินจริงๆ เงินที่ได้มาก่อนหน้านี้เจ้าใช้หมดหรือเปล่า?” เขาหยิบถุงเงินในสาบเสื้อที่แบ่งส่วนของนางไว้แล้วออกมา นางรีบคว้าเอาไปเก็บไว้ในกระเป๋า
“ข้ามิใช่เจ้าเสียหน่อยจะได้เที่ยวเล่นจนไม่มีเงินเหลือเช่นนี้ ข้าเก็บเงินหมายจะออกไปท่องยุทธภพ เป้าหมายยิ่งใหญ่ต้องมุ่งมั่น!” นางกำหมัดชูขึ้นสูง จน ไป๋ฉิงเหวินขบขัน
“ข้าต่างหากที่เป็นจอมยุทธ์สมควรไปท่องยุทธภพ ส่วนเจ้าน่ะเป็นแค่ตีนแมว เอ๊ย! นักสืบ จะไปท่องยุทธภพได้อย่างไรกัน?”
เหลียงเจินซินได้ยินเช่นนั้นก็ทำตาโตเอานิ้วชี้หน้าตนเอง “ข้านี่ล่ะ! สมควรจะได้ชื่อว่าจอมยุทธ์คนสำคัญแห่งเป่าจู เจ้ามิได้ยินหรือว่าไปที่ใดผู้คนล้วนยกย่องในความสามารถการสืบคดีของข้า”
ไป๋ฉิงเหวินคร้านจะอธิบายซ้ำว่าที่นางทำเรียกย่องเบา ส่วนการสืบคดีเป็นเรื่องที่เขาทำต่างหาก หลังจากหาร่องรอยและแนวทางการสืบสวนคดีต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็สั่งให้นางเป็นผู้ไปขโมยเอาหลักฐานเพิ่มเติมมาให้ตามต้องการ ‘เอาเถอะ บอกไปยังไงก็เถียงนางไม่ได้อยู่ดี ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนี้ก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวงอนมาพาลไม่ช่วยทำงานอีก’
“เอาล่ะๆ ก็ได้ นักสืบซิน ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นจอมยุทธ์แห่งเป่าจูก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าไปขออนุญาตท่านลุงให้เจ้าก่อน”
เหลียงเจินซินออกมายืนรอหน้าจวน ได้ยินเสียงท่านพ่อก็นางเอะอะเล็กน้อยจากนั้นก็เงียบไป ‘เสี่ยวเหวินนี่เก่งจริงๆ เกลี้ยกล่อมท่านพ่อได้สำเร็จอีกแล้ว’ ที่แท้ ไป๋ฉิงเหวินเอาชื่อของบิดาตนมากล่าวอ้างว่าจะพาเหลียงเจินซินออกไปสืบคดีทำให้ เจ้าเมืองเป่าจูพูดไม่ออก ชะเง้อมองบุตรสาวที่ชอบแต่งกายเป็นชายตั้งแต่เริ่มโตแล้วก็ปวดใจ แม้คนทั้งเมืองจะรู้ว่านางคือบุตรสาวคนเล็กของเขา ทว่ากลับเรียกขานจากการแต่งตัวของนางว่า ‘คุณชายน้อยเหลียง’ นางเลยวัยปักปิ่นมาแล้ว ปีนี้อายุสิบหกก็ยังไม่มีแม่สื่อสักคนคิดจะมาทาบทาม เหลียงฮุ่ยฟู่หันหน้าไปปรึกษาภรรยาว่าอาจจะต้องเก็บเงินทองไว้ให้มากหน่อย บุตรสาวอายุครบสิบแปดหากประกาศว่าสินเดิมนางมีมหาศาลอาจจะทำให้ตระกูลดีๆ หันมาสนใจบ้างก็ได้
นักสืบซินสะพายกระเป๋าแบนยาวที่เย็บด้านในเป็นช่องเล็กๆ สำหรับเก็บเครื่องมืองัดแงะและทำงานของนางไว้ครบครัน ในสายรัดเอวของนางมีซอกสำหรับเก็บตั๋วเงินที่มิดชิด ใบหน้าเล็กๆ เกลี้ยงเกลาในชุดคุณชายทำให้นางน่าเอ็นดูเหมือนหนุ่มน้อย
*************************
