ตอนที่ 4 ระวังภัย
“อะไรนะ” เสียงของลู่ชิงชิงตวาดลั่น
บ่าวรับใช้ข้างกายของนางยืนสงบนิ่งรอดูท่าทีของผู้เป็นนาย ในขณะที่ลู่หานหลานชายของนางที่มาทำหน้าที่คอยอยู่รับใช้ข้างกายก็คุกเข่าต่อหน้าด้วยความกังวลไม่แพ้กัน
ในห้องนี้มีเพียงคนสามคน สาวใช้คนอื่นๆ ถูกสั่งให้ออกไปรอด้านนอก เพราะเรื่องนี้เป็นความลับที่ให้ใครล่วงรู้ไม่ได้
“คราแรกคนของเจ้าก็ถูกจับได้จนชิงฆ่าตัวตาย ครานี้คนของเจ้าที่ถูกส่งไปก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นี่ข้าจะทำอะไรนางไม่ได้เชียวหรือ” ลู่ชิงชิงกล่าวด้วยความแค้นเคือง
นางอุตส่าห์ใช้ช่วงที่สามีเดินทางไปต่างเมืองในการลอบสังหารหลานสาวคนโปรดของเขา แต่ก็หาสำเร็จไม่
ครั้งแรกลู่หานส่งคนไปลอบสังหารนางที่จวนนายอำเภอ จัดฉากให้เหมือนถูกคนร้ายที่หมายเอาชีวิตจางฮูหยินพลั้งมือฆ่านางก็ถูกทหารยามชั้นผู้น้อยจับได้ เมื่อคืนนี้ส่งนักฆ่าอีกคนไปก็หายตัวอย่างไร้ร่องรอย
“ครั้งนี้ข้าจะลงมือเอง” ผู้เป็นหลานชายกล่าวด้วยความรู้สึกผิดที่คนของเขาทำพลาด
“ไม่ต้อง ท่านผู้ว่าการมณฑลกำลังจะกลับมา หากลงมือตอนนี้เกรงว่าจะถูกสาวมาจนถึงข้าได้” ไป๋ฮูหยินที่วัยเพียงสามสิบต้นๆ กล่าวเสียงเรียบ ข่มความโกรธและโทสะของตนเอาไว้
“อาหง” นางเรียกชื่อสาวใช้ข้างกายที่ติดตามมาตั้งแต่ก่อนออกเรือน
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
“จัดธูปกำหนัดให้ข้า ในเมื่อกำจัดนางให้พ้นหูพ้นตาไม่ได้ ก็ให้นางมาเป็นหลานสะใภ้ของข้าแทนก็แล้วกัน” พูดจบรอยยิ้มที่มุมปากก็ผุดขึ้น
ลู่หานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความยินดี เขาเองก็พึงพอใจในความงามของนางอยู่ไม่น้อย
“ดูสิว่าหากนางออกเรือนไปแล้ว ท่านพี่ยังจะพร่ำเพ้อถึงนางอยู่อีกหรือไม่” น้ำเสียงของนางกล่าวด้วยความคับแค้น
ก่อนหน้านี้ก็เป็นจางมู่ฟางมารดาของนางที่ไป๋เยี่ยคลั่งไคล้ ทุกครั้งเมื่อเห็นน้องชายของตนไป๋เยียนอยู่กับนาง เขาก็จะออกอาการหึงหวง ต่อหน้าคนอื่นแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้คิดอะไร แต่พออยู่กับนางตามลำพังเขาก็อาละวาดจนเรือนแทบพัง
หลายปีก่อนจางมู่ฟางป่วยตายไป คนที่เสียใจจนล้มป่วยกลับเป็นไป๋เยี่ย พอไป๋ซืออวี่เริ่มเติบใหญ่ ใบหน้าละม้ายคล้ายมารดาของนาง ไป๋เยี่ยที่จมอยู่กับความทุกข์มานานก็มีความหวัง
“หลานตัวเองแท้ๆ ยังกล้าคิดไม่ซื่อ คอยดูเถอะว่า ข้าจะทำให้เขาต้องเสียใจ” นางกล่าวขณะที่มือเรียวกำแน่น
************************
ขณะเดียวกันที่จวนนายอำเภอ สวี่จื่อเฟิงในคราบทหารยามที่ตอนนี้ได้รับความไว้วางใจให้ติดตามนายอำเภอร่วมกับทหารยามชั้นในอีกสี่คน ก็ยืนอยู่เบื้องหลังเขาขณะที่มีการหารือกับขุนนางอีกคน
เรื่องราวที่พวกเขาคุยกันเป็นชั้นความลับสูงสุด แต่สาระนั้นกลับไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่เขาจ้องจะสังหาร
ในฐานะนักฆ่า เขาต้องสังหารไป๋เยี่ยตามคำสั่งตาย แต่ในฐานะบุรุษ เขาต้องสังหารบุรุษวิปริตที่แอบรักน้องสะใภ้ของตนจนลามมาถึงหลงรักหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง
จนกระทั่งพูดคุยถึงไป๋เยี่ย เขาจึงฟังอย่างตั้งใจ
“อีกสามวันท่านผู้ว่าการมณฑลก็จะกลับมาแล้ว ระหว่างนี้อย่าให้มีเรื่องเกิดขึ้น” นายอำเภอกล่าวแล้วถอนหายใจออกมา
“ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนมีคนร้ายบุกเข้าจวนของท่าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับการลอบสังหารแม่ทัพซ่งเมื่อเดือนที่แล้วหรือไม่ ในตอนนั้นเห็นว่าแม่ทัพต่อสู้อย่างสุดกำลังเกือบจะพ่ายแพ้ แต่โชคดีทหารองครักษ์เข้ามาช่วยทัน นักฆ่าผู้นั้นช่างโง่เขลา ลอบสังหารแม่ทัพในจวนที่เต็มไปด้วยทหาร ถูกส่งมาตายชัดๆ” ขุนนางระดับท้องถิ่นผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
สวี่จื่อเฟิงกำมือแน่น เขาเองก็รู้ว่าภารกิจนั้นอันตรายเพียงใด แต่ก็เป็นอย่างที่เขาพูด ราวกับว่างานครั้งก่อนเหมือนเขาถูกส่งให้ไปตาย แต่โชคดีที่รอดออกมาได้
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่คนร้ายนั้นเหมือนจะพุ่งตรงไปที่ภรรยาและหลานสาวของข้าที่พูดคุยกันอยู่ ภรรยาของข้ามิใช่สตรีที่ออกนอกจวน ส่วนหลานสาวของข้านางเองก็เป็นคนอ่อนโยนมีเมตตา และอีกอย่างนางก็เป็นหลานของท่านไป๋ด้วยเช่นกัน ข้าคิดว่าเป้าหมายอาจจะเป็นนาง คนร้ายคงอยากทำให้ทั้งข้าและท่านผู้ว่าการมณฑลต้องสูญเสียพร้อมกัน”
เหล่าขุนนางท้องถิ่นที่มาหารือต่างก็พยักหน้า เชื่อว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า การลอบสังหารครานี้เกิดจากจิตริษยาของสตรีนางหนึ่งเท่านั้น
คืนนั้น สวี่จื่อเฟิงออกมาจากหอนอนรวมของทหารยามในตอนกลางดึก อีกสามวันไป๋เยี่ยจะกลับมาที่เมือง ลู่ชิงชิงอาจจะใช้เวลาในสามวันนี้ทำอันตรายแก่ไป๋ซืออวี่ได้
ร่างกำยำปราดเปรียวในชุดสีดำสนิท นั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่แผ่สาขาออกกว้าง ท่ามกลางความมืดเขาเฝ้ามองนางเพื่อระวังความปลอดภัยให้แก่หญิงสาว
จากหน้าต่างบานเดิม เขาเห็นว่ามีสตรีสูงวัยอีกนางที่นั่งอยู่ด้วยกัน ฟังจากการสนทนาแล้วแม่ไป๋ซืออวี่จะเรียกนางว่าท่านแม่ แต่จำได้ว่ามารดาของนางนั้นได้ล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้ว สตรีที่นั่งอยู่กับนางจึงน่าจะเป็นภรรยาใหม่ของไป๋เยียน
เขามองนางอย่างพินิจ ก่อนที่สายตาจะลดความระแวดระวังลงเมื่อมั่นใจว่าสายตาคู่นั้นอ่อนโยนไม่ได้คิดร้ายกับสตรีในใจตน
“อวี่เอ๋อร์ แม่ขอบใจเจ้ามาก” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้ง แอบมาหาลูกเลี้ยงกลางดึกก็เพราะไม่อยากให้สามีและคนรับใช้ในเรือนรองแห่งนี้รู้ว่าตนกำลังป่วยด้วยโรคผิวหนังด้วยความอับอาย
“ท่านแม่ทาขี้ผึ้งที่ข้าผสมตัวยานี้ให้ ไม่กี่วันก็จะดีขึ้น อาจะจะแสบเล็กน้อยเพราะมีเกลือเป็นส่วนผสม แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปส่งที่หน้าประตูห้อง
“ส่งข้าเท่านี้ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ” ไป๋ฮูหยินแห่งเรือนรองกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
หญิงสาวก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการส่งนางกับสาวใช้ข้างกายเดินกลับหอนอนไป
จากนั้นไป๋ซืออวี่จึงกลับเข้าไปในห้อง กำลังยกมือของนางปิดริมฝีปากที่กำลังหาว เขาเผยรอยยิ้มนั้นออกมามองกิริยาของนางด้วยความหลงใหล
สาวใช้คนสนิทของนางช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเผยให้เห็นชุดนอนด้านในจนเขาต้องลอบกลืนน้ำลายกับผิวพรรณที่เนียนผ่องนั้น
เมื่อสาวใช้ของนางดับตะเกียงแล้วออกจากห้องไป ไป๋ซืออวี่นอนหลับด้วยความรู้สึกที่อ่อนเพลีย เสียงหายใจที่สม่ำเสมอของนางดังเบาๆ อย่างต่อเนื่อง บ่งบอกว่าเจ้าของห้องนั้นหลับลงไปแล้ว
แต่ไม่นาน ความรู้สึกราวกับว่าถูกริมฝีปากอุ่นของใครบางคนแตะเบาๆ ที่หน้าผากของนาง หญิงสาวลืมตาขึ้นมาแต่ก็พบว่าภายในห้องของนางว่างเปล่า
มือเรียวแตะที่หน้าผากของตน ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อย เข้าใจว่านางคงฝันไป
ที่ด้านนอก สวี่จื่อเฟิงนั่งอยู่ที่กิ่งไม้กิ่งเดิม พิงศีรษะกับต้นไม้ หลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา แต่ถึงแม้จะหลับตาแต่ประสาทสัมผัสของเขาก็ตื่นตัวอยู่เสมอ เพื่อคอยระวังภัยให้แก่นาง
************************