ตอนที่ 1 สตรีผู้อ่อนโยน
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ร่างหนึ่งนอนฟุบอยู่เหนือพื้นดิน เลือดสีแดงสดย้อมชุดดำจนแทบมองไม่ออกว่ากำลังได้รับบาดเจ็บ
สวี่จื่อเฟิง นักฆ่าผู้เย็นชาไร้หัวใจ บัดนี้กลับนอนแน่นิ่งด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่ฟันเข้าที่หัวไหล่ ดวงตาคมหลุบปิดภายใต้หน้ากากที่ปิดบังครึ่งหน้า ร่างกายหมดแรงไปกับภารกิจล้มเหลวเป็นครั้งแรกในชีวิต
เสียงกีบม้าเริ่มดังใกล้เข้ามา ขบวนรถม้าของตระกูลไป๋กำลังเดินทางผ่านเส้นทางป่า ตรงไปยังอารามนอกเมืองเพื่อขอพร
ทว่าในขณะที่ขบวนรถม้าเคลื่อนไปตามเนินเขา เสียงร้องของม้าเบิกทางก็ดังขึ้นอย่างตื่นตกใจ ก่อนจะหยุดลงกะทันหัน
“มีผู้ชายบาดเจ็บอยู่ข้างทางเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้ตะโกนลั่น พลางชะโงกหน้ามองไปยังร่างที่เกือบกลืนหายไปกับพื้นหญ้า
ม่านรถม้าเลิกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน ใบหน้าสวยสงบนิ่ง ดวงตาคมนุ่มนวลเต็มไปด้วยความเมตตา
“หยุดรถ”
ไป๋ซืออวี่รีบลงจากรถม้า ฝ่าหมอกเข้าไปดู ท่ามกลางใบไม้เปียกชื้นและกลิ่นเลือดจางๆ ชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนแน่นิ่ง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเลือด
แผลฉกรรจ์ที่ไหล่ยังคงมีเลือดซึม ใบหน้าถูกปิดด้วยหน้ากากครึ่งใบหน้าเห็นเพียงใบหน้าส่วนล่างและริมฝีปากที่แห้งผากของเขา ดูก็รู้ว่ากำลังหลบหนีมา แต่เห็นคนใกล้ตายตรงหน้านางมิอาจนิ่งเฉย
“หายใจยังสม่ำเสมอ แต่เสียเลือดมาก ต้องรีบห้ามเลือดก่อน” นางแตะมือเบาๆ ที่ชีพจร ไม่ได้ถอดหน้ากากที่ปิดบังใบหน้านั้นออก
ร่างกายที่ดูเหมือนไร้สติขยับเล็กน้อย เปลือกตาหนักอึ้งเปิดขึ้นช้าๆ ดวงตาคมกริบปรากฏแววหม่นลึกและอาฆาต แต่ในวินาทีที่เห็นใบหน้าอ่อนโยนของนาง หัวใจที่เย็นชามาหลายปีเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“เจ้าคือใคร” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ริมฝีปากแตกระแหง ไม่แน่ใจว่านี่คือฝันหรือความจริง
“คนที่ยอมเสี่ยงช่วยท่าน แม้จะไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร” ไป๋ซืออวี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบอย่างอ่อนโยน
สวี่จื่อเฟิงหลับตาลงอีกครั้ง รอยยิ้มบางราวกับเด็กน้อยปรากฏขึ้นที่มุมปาก ในใจของเขาเริ่มก่อร่างบางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เขายังไม่ตาย” ไป๋ซืออวี่ตะโกนบอกแล้วหันไปออกคำสั่ง
“หามเขาขึ้นรถม้า ข้าจะรักษาเขาเอง”
“คุณหนู เขาอาจเป็นโจร เป็นคนไม่ดี” เสี่ยวหรูสาวใช้คนสนิทรีบกล่าวด้วยความกังวล
“แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นคนบาดเจ็บ และข้ายังเป็นหมอ จะให้ข้าละเลยชีวิตของคนงั้นหรือ”
เมื่อนางยืนยันเช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งอีก แม้ชายผู้นั้นจะเต็มไปด้วยความเย็นเยียบและน่าหวาดกลัว แต่คุณหนูของพวกเขากลับช่วยเหลือโดยไม่คิดถึงอันตรายเลยสักนิด
************************
กลิ่นธูปจางๆ ลอยคลุ้งในเรือนพักของอารามเก่าแก่ เสียงพระสวดแว่วไกลกล่อมให้อากาศสงบเงียบ
ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงไม้เรียบง่าย ใบหน้าของเขายังมีหน้ากากสวมติดเอาไว้ ชุดเดิมถูกถอดเปลี่ยนเป็นชุดผ้าฝ้ายสีจาง แผลถูกพันด้วยผ้าสะอาดมีรอยโลหิตซึมออกมาเล็กน้อย
สวี่จื่อเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ยังไม่รู้สึกตัว ความเย็นของผิวกายเจือปนความปวดร้าวที่บ่า ก่อนที่ภาพในหัวจะเข้าสู่ความทรงจำที่เลวร้าย
เพียะ! เสียงหวดแส้ยังดังก้องในความฝัน ร่างเล็กของเด็กชายในอดีตนอนตัวสั่นกลางพื้นไม้เย็นเยียบ ดวงตาเรียวจ้องมองเงาดำสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนถือแส้อย่างเย็นชา
“อย่าทำผิดอีก” เสียงนั้นเย็นเฉียบ ก่อนจะฟาดแส้ลงที่แผ่นหลังของเขา ความเจ็บปวดจนเนื้อปริแตกนั้นทำให้เด็กชายร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ชายที่สังหารบุพการีของตนและลักพาตัวมากักขังไว้
“จำเอาไว้ ไม่มีความอ่อนแอในหมู่นักฆ่า” เสียงแส้ฟาดลงมาอีกครั้งเมื่อประโยคนั้นจบลง ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว
เสียงลมหายใจถี่กระชั้นดังขึ้นพร้อมกับการขยับร่างกายอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณนักฆ่า มือหนึ่งคว้าลำคอของร่างที่อยู่ใกล้สุด
แต่แรงบีบนั้นคลายออกทันที ดวงตาคมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อน ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ
มือของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนจะชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ข้าขอโทษ...” เสียงของเขาแหบพร่า ปนความรู้สึกผิดอย่างจริงจัง บุรุษภายใต้หน้ากากเบือนหน้าหนี หอบหายใจแรง ใจยังเต้นระรัวเพราะแรงสัญชาตญาณที่ยังไม่สลาย
ร่างกายของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ มือสองข้างกำผ้าห่มแน่น แต่ก่อนที่เขาจะยันกายลุกขึ้น เสียงนุ่มเบาก็เอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อย่าขยับตัวแรง แผลเจ้ากำลังสมาน”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเย็นชาอย่างหลี่ฉางเฟย ไม่ใช่เสียงตะคอก ไม่ใช่คำสั่ง มันเป็นความห่วงใยอย่างที่เขาไม่เคยได้รับตั้งแต่ที่มารดาจากไป
เขาหันไปช้าๆ มองหญิงสาวนั่งบดสมุนไพรอยู่ข้างเตียง สวี่จื่อเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ชินกับการที่มีใครอยู่ใกล้เขาแล้วไม่กลัวหรือหวาดระแวง
“เจ้าช่วยข้าไว้” เขาถามแล้วจ้องใบหน้าของนาง นึกชอบคุณที่นางไม่ได้ถอดหน้ากากออก ไม่เช่นนั้นตามกฎแล้วเขาจะต้องสังหารนางและทุกคนในอารามแห่งนี้ที่อาจจะเห็นใบหน้าของเขา
“อืม ขบวนรถของข้าผ่านไปเห็นท่านล้มอยู่ข้างทาง ข้าเองก็พอรู้เรื่องยาสมุนไพรและการแพทย์อยู่บ้าง จะไม่ช่วยเลยก็ไม่ได้ โชคดีที่ข้าพกสมุนไพรเหล่านี้ติดตัวอยู่ตลอด”
ดวงตาคมสบกับดวงตานุ่มนวลของนางอีกครั้ง เขานิ่งไปเหมือนกำลังจดจำใบหน้านี้ให้แม่นยำทุกส่วนไม่ให้เลือนหายแม้สักเสี้ยว
“ข้าจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้” เขากล่าวเสียงเบา แววตาที่มักเต็มไปด้วยความเย็นชากลับสั่นไหวเล็กน้อย
“บอกชื่อของเจ้าได้หรือไม่ ข้าควรจะรู้ชื่อผู้มีพระคุณของข้า”
“ไป๋ซืออวี่” นางตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ไป๋...ซืออวี่” เขาทวนชื่อนั้นช้าๆ คล้ายจะสลักไว้ในหัวใจ
“ข้าต้องลงจากรถ ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเจ้า ข้ากำลังถูกตามล่า หากใครรู้ว่าอยู่กับพวกอาจไม่เป็นผลดีนัก” นักฆ่าวัยยี่สิบเอ็ดพยุงตัวลุกนั่ง แม้จะยังเจ็บแผลจนหน้าซีด
“ท่านยังบาดเจ็บ” นางยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ช่างไร้เดียงสาในสายตาของเขา
“ไม่เป็นไร ข้าทนได้” สวี่จื่อเฟิงฝืนยิ้มบางๆ แม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ไป๋ซืออวี่มองเขานิ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา
“เช่นนั้น...ข้าจะไม่รั้งท่านไว้ แต่ก่อนไป ข้าอยากให้ท่านรับสิ่งนี้ไว้”
นางยื่นถุงผ้าเล็กๆ ซึ่งภายในบรรจุสมุนไพรห้ามเลือดและยาแก้ไข้เบื้องต้น
“ชีวิตท่านมีค่า อย่าโยนมันทิ้งไปง่ายๆ”
สวี่จื่อเฟิงรับมันไว้อย่างเงียบงัน ราวกับมือเขากำลังถือสิ่งล้ำค่ากว่าทองพันชั่ง
‘ข้าจะไม่ลืมเจ้า… ไป๋ซืออวี่’
************************