ตอนที่ 7 ไม่เคยรัก
ศรัญญาพาขาสั่นๆ ของตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าบริษัท น้ำตายังคงไหลอาบสองแก้ม ไม่แน่ใจว่าควรไปที่ไหนดี แต่เธอจะไม่กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก คนเป็นสามีทำกับตนเหมือนไม่ใช่คน หญิงสาวพยายามปาดน้ำตาทิ้งและหันไปโบกแท็กซี่ที่เพิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารพอดี
“ไปพหลโยธิน…ค่ะ” จุดหมายปลายทางดังกล่าวคือบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่กำเนิด บิดาก็คือที่พึ่งและความหวังเดียวในเวลานี้
ประตูรั้วหน้าบ้านปิดสนิท มือเล็กไขกุญแจเข้าไปด้านใน ผู้ให้กำเนิดคงกลับมาช่วงเย็น เธอยังเก็บกุญแจบ้านเอาไว้ ร่างบางเดินเอื่อยๆ เข้ามาในบ้านและหย่อนกายลงนั่งบนโซฟา น้ำตาเริ่มแห้งลงไปแล้ว หญิงสาวเปิดอ่านนิยายที่ค้างไว้เป็นการฆ่าเวลา แต่ยิ่งอ่านน้ำตาก็ยิ่งไหลด้วยเพราะนางเอกของเรื่องมีชีวิตไม่แตกต่างไปจากเธอเลยสักนิด น้ำตาเริ่มไหลรินเงียบๆ อีกครั้งก่อนจะเผอหลับไปอย่างอ่อนล้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญ
“มาทำอะไรที่นี่ทราย” นี่คือคำทักทายแรกจากปากผู้ให้กำเนิดเมื่อได้เห็นหน้าบุตรสาวเพียงคนเดียว ใบหน้าเนียนชะงักไปพร้อมๆ กับตรงเข้าไปกอดท่านอย่างคนต้องการที่พักพิง
“คุณพ่อขา” เจ้าตัวเรียกบิดาเสียงสะอื้น ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง แต่ความอ่อนแอครั้งนี้มันฟ้องออกมาจนหมดสิ้น
“ใครทำอะไรทราย?”
“ทรายไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ทรายขออยู่ที่นี่กับคุณพ่อนะคะ” หญิงสาวไม่ยอมตอบ นอกจากส่งเสียงอ้อนวอนที่อก
“ไม่ได้!” ศรัญเสียงแข็งขึ้นมาทันทีกับคำขอที่ได้ยิน
“แต่”
“ถ้าไม่กลับ พ่อจะโทรตามให้สามีแกมารับกลับไปเอง” สิ้นเสียงชายสูงวัยก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดทันที โดยเลือกที่จะเลี่ยงออกมาด้านนอกเพราะไม่อยากให้บุตรสาวได้ยินบทสนทนา
“คุณสุจินดา ลูกชายคุณอยู่ที่ไหน” ศรัญพ่นคำถามไปยังปลายสายเสียงเครียดจัด
“แกจะถามทำไม ตาอิชย์ยังไม่กลับ” แม้จะไม่อยากรับสายแต่เพราะรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี นางจึงจำยอมเปิดปากสนทนาด้วย
“ถ้ากลับมาเมื่อไหร่ คุณต้องให้มันมารับลูกสาวผมกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้” ประกาศิตจากปลายสาวทำเอาสุจินดากัดฟันกรอด ทำไมต้องมาเชื่อฟังคำสั่งของไอ้ผีพนัน แถมยังกล้าเรียกลูกชายตนว่า ‘มัน’ อีก
“ลูกสาวแกกลับไปทำไมล่ะ หล่อนไม่ได้เล่าให้ฟังหรือไง” หญิงสูงวัยถามเสียงเหยียด
“ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าลูกชายคุณไม่มารับเมียตัวเองกลับบ้านภายในวันนี้ คุณก็เตรียมแก้ตัวกับคนรอบข้างได้เลย” บทสนทนาถูกยุติลงทันทีท่ามกลางความเคียดแค้นในอกของเจ้าตัวพร้อมๆ กับที่เห็นว่าบุตรชายกำลังเดินเข้ามา
“ตาอิชย์ แกทะเลาะกับเมียจนเขาหนีกลับบ้านไปหาพ่อหรือไง” คำถามจากมารดาดังขึ้นอย่างลืมตัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ถึงขั้นมาฟ้องแม่ตนเชียวหรือ
“ผู้หญิงคนนั้นมาฟ้องแม่เหรอครับ?”
“เมียแกไม่ได้ฟ้อง แต่พ่อหล่อนโทรมาถอนหงอกแม่เมื่อกี้นี้ ไปรับเมียแกกลับมาเดี๋ยวนี้ อย่าให้แม่ต้องขายหน้าคนอื่น” คุณสุจินดาสั่งลูกชายเสียงเข้มเจือไปด้วยความโกรธ นางไม่แคร์หรอกว่าแม่ลูกสะใภ้นอกคอกนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไง สิ่งที่แคร์คือชื่อเสียงของตนมากกว่า มันคงจะป่นปี้ไม่มีชิ้นดีหากความลับถูกเปิดเผย
“แต่ว่าผม” เรื่องอะไรเขาจะต้องไปรับเธอกลับมา
“แม่พูดครั้งนี้อีกครั้งเดียวคือให้ทำตามที่แม่สั่ง” เจ้าของร่างอวบอิ่มสะบัดหนีขึ้นไปยังชั้นบนทันที ไม่รอให้บุตรชายได้พูดอะไรอีก
“โธ่โว้ย!” อิชย์สบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะเดินกลับไปที่รถและขับออกไปด้วยอารมณ์โมโห
เสียงกริ่งที่เหมือนกระแทกลงรัวๆ มากกว่ากดดังขึ้น ศรัญสั่งให้เด็กรับใช้ในบ้านที่กำลังจัดโต๊ะอาหารออกมาดู และชายสูงวัยก็คิดไม่ผิดว่าต้องเป็นลูกเขยตนเอง
“เชิญด้านในก่อนค่ะคุณอิชย์” ชมสาวใช้ตาคมผิวเข้มเอ่ยเชื้อเชิญชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ สีหน้าท่าทางบ่งบอกอารมณ์ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
“เจ้านายเธออยู่ที่ไหน?” ชายหนุ่มถามคนก่อเรื่องทันที
“คุณทรายใช่ไหมคะ?” ชมถามซื่อๆ
“เจ้านายเธอมีกี่คนล่ะ” ชายหนุ่มทำเสียงรำคาญ
“คุณทรายอยู่ข้างบนห้องค่ะ” ชมหดคอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ทำไมสามีของคุณหนูถึงได้ดุขนาดนี้นะ
“ไปตามลงมา บอกว่าฉันมารับกลับ” อิชย์สั่งสาวใช้ที่เดินนำหน้าเข้ามาในบ้าน ดวงตาคมเข้มเหลือบไปเห็นพ่อตากำลังนั่งไขว้ห้างอ่านหนังสืออยู่จึงยกมือไหว้ตามมารยาท แม้ในใจจะไม่ชอบคนตรงหน้าแค่ไหนก็ตาม
“ไปจัดโต๊ะต่อไปชม” ศรัญออกปากสั่งสาวใช้ในบ้านที่กำลังทำท่าจะก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของเจ้านายสาว
“ค่ะ”
“ทรายอยู่ข้างบน นี่กุญแจห้อง” ชายสูงวัยมองหน้าลูกเขยและส่งกุญแจห้องส่วนตัวให้
“นี่หมายความว่า” ชายหนุ่มแค่นเสียง พ่อลูกคู่นี้กำลังเล่นเกมส์อะไรกันแน่ แค่ต้องมาตามเจ้าหล่อนกลับก็มากพอสำหรับเขาแล้ว
“คุณทำลูกสาวผมเสียใจมาก และนี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ” ศรัญกล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินเลี่ยงไป ไม่อยากเถียงกับไอ้เด็กเมื่อวานซืน ยังไงซะก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสามีของบุตรสาวอยู่
แกร๊ก! เสียงลูกบิดประตูห้องนอนดังขึ้นในขณะที่เจ้าของห้องเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเห็นว่าคนที่บุกรุกเข้ามาในห้องนอนนั้นเป็นใคร
“คุณอิชย์”
“กลับบ้านกับฉัน” เขาสั่งเสียงดังแกมบังคับและมองเห็นแม่ตัวก่อเรื่องพยายามหาเสื้อคลุมมาสวมใส่ราวกับกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยที่ต้องอยู่ตามลำพังกับ ‘ผัว’
“ทรายไม่กลับ”
“อย่าให้ต้องใช้กำลังบังคับ” ชายหนุ่มขู่เสียงแข็ง
“คุณอิชย์จะมาเอาอะไรกับทรายอีก ที่ด่ากันวันนี้ไม่พอหรือคะ?” เธอทวงถามความผิดของตนเสียงสั่น ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายถอยออกมาแล้ว เขายังต้องการอะไรอีก
“ฉันด่าอะไรเธอ?” คนตรงหน้าทำเสียงสูง ตีหน้ามึนได้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงทรายก็ไม่กลับ” เธอเชิดหน้าตอบ ในบ้านตัวเอง ถ้าจะต้องแพ้อีกก็ให้มันรู้ไป
“อย่าดื้อให้มากนะ ฉันไม่จำเป็นต้องง้อเธอ” อิชย์เข่นเขี้ยว นี่คงจะนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านถึงได้ทำท่าทางผยองใส่
“กลับไปสิคะ” เธอไล่อย่างไร้เยื่อใย และนั่นทำให้อิชย์ อิทธิประชากุล โกรธจนควันออกหู
“ศรัญญา” เสียงเรียกชื่อจากชายหนุ่มที่ตอนแรกยังไม่ยอมก้าวเข้ามา บัดนี้กำลังย่างสามขุมเข้าหาคนปากเก่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นท่าทางเอาจริง เจ้าตัวก็หันรีหันขวาหาตัวช่วย จะวิ่งไปฝั่งซ้ายก็ติดเตียง จะวิ่งไปทางขวาก็ชนกับตู้เสื้อผ้า แต่ถ้าวิ่งไปตรงกลางก็เจอกับคนใจยักษ์เข้าเต็มๆ
“ไม่ต้องคิดหนีหรอก เพราะตอนนี้ฉันถึงตัวเธอแล้ว” ใบหน้าคมก้มลงมากระซิบข้างหูเสียงเหี้ยม มือหนาเกี่ยวเอวคอดไว้แน่น เธอสิ้นหนทางหนีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มทำ ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งที่พร้อมจะรัดร่างบางให้แหลกคามือ
“ปล่อยนะคะ”
“ไม่ปล่อย จะกลับดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง” คนผีเข้าผีออกตอบ มือหนาปัดป่ายไปมาบนสะโพกมนชนิดอยู่ไม่สุข
“อื้อ หยุดนะ” มือเล็กคว้าหมับเมื่อสัมผัสได้ว่าเริ่มไล่ต่ำลงไปอีก ใครกันแน่ที่ผิด ก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงเขาทั้งรังแกและยืนด่าเธอปาวๆ อย่างไม่ไว้หน้า แม้บริเวณนั้นจะมีกันแค่สองคนก็ตาม
“จะกลับดีๆ หรือจะให้ฉันต้อง ‘จัดหนัก’ เธอก่อน” คำพูดสองแง่สองง่ามทำเอาศรัญญาเบิกตาโพลงและทำท่าจะดิ้นหนีอีกครั้ง
“ทรายจะไปแต่งตัว ปล่อยนะคะ” เธออ้อนเสียงอ่อน
“เดี๋ยวฉันแต่งให้” คนหน้าด้านบอก
“ไม่เอาค่ะ” หญิงสาวสั่นหน้าปฏิเสธพัลวัน
“ทำไม?” คราวนี้เสียงดุถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ทรายทำเองได้ ทรายไม่ใช่เด็กแล้วค่ะ” เธอตอบเสียงอู้อี้ ใบหน้าเริ่มรื้นขึ้นมา
“ที่หนีผัวกลับบ้านนี่ไม่เด็กเลยนะ” คำต่อว่าของเขาทำเอาหญิงสาวแทบกรี๊ด
“บ้า คุณไม่”
“ไม่ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่งั้นคืนนี้กลับไปเธอไม่ได้นอนแน่” อิชย์คาดโทษคนตรงหน้าจนเธอต้องยอมปิดปากสนิท
“ทรายไปแต่งตัวได้หรือยังคะ” เจ้าตัวทำปากยื่น ลืมหมดสิ้นที่เคยถูกเขาว่าและทำอะไรไว้ เพราะความรักบังตาจริงๆ
“ให้เวลาห้านาที ถ้ายังไม่เสร็จฉันแต่งให้เอง” คราวนี้ชายหนุ่มยอมปล่อยเด็กดื้อจากอ้อมกอด มองร่างบางที่วิ่งปร๋อหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดีเหมือนลืมเช่นกันว่าก่อนหน้านี้ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจไว้มากเพียงใด
ทั้งคู่พากันก้าวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ศรัญญาเห็นบิดายืนรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มกระอักกระอ่วนถูกส่งให้ท่าน โดยที่คนข้างๆ กลับมีสีหน้าเรียบเฉยจนเธอเองยังเดาไม่ออก
“หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ลูกสาวผมเสียใจจนต้องหนีกลับบ้านแบบนี้อีก” ศรัญเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบของคนทั้งคู่
“คุณพ่อคะ” หญิงสาวพยายามร้องห้ามบิดาแต่ก็คล้ายจะไม่เป็นผล
“ผมเลี้ยงลูกมาอย่างดี น้ำตาสักหยดแทบไม่เคยให้ไหล” ชายสูงวัยพูดเสียงเรียบ ถ้อยคำสุภาพแต่ทว่านัยน์ตาที่ใช้มองลูกเขยมีแววเชือดเฉือนอยู่ในที
“แล้วคุณมาบอกผมทำไม” อิชย์ถามราวกับไม่แยแส ในใจเดือดปุดกับคำสั่งสอนของพ่อตา
“ก็ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่ก็ควรจะให้เกียรติเพศแม่ตัวเองบ้าง” ครั้งนี้ชายสูงวัยก็เริ่มหมดความอดทนกับท่าทางผยองของลูกเขย
“กลับกันเถอะค่ะคุณอิชย์ นะคะ” ศรัญญาเป็นฝ่ายห้ามศึกระหว่างบิดาและสามี มือเล็กกระชับแขนแกร่งและพาออกเดิน ด้วยไม่อยากให้ชายต่างวัยทั้งสองต้องมาถกเถียงกันเพราะตนเองอีก
กว่ายี่สิบนาทีที่ความเงียบปกคลุมมาตลอดการเดินทาง ศรัญญาเหลือบไปมองเสี้ยวหน้าคมเข้มอยู่เป็นระยะ เธอเห็นเขามองไปยังเบื้องหน้าไม่พูดไม่จา ผิดจากเมื่อกี้หน้ามือเป็นหลังมือ
“คุณอิชย์โกรธคุณพ่อใช่ไหมคะ?” เธอถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม รู้ดีว่าบิดาต่อว่าเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง
“ถามทำไม”
“ก็ทราย...” พูดได้แค่นั้นเจ้าตัวก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดต่อมา “ทรายขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ”
“ไม่จำเป็น” คำตอบของเขาทำเอาเธอนิ่งไปอีกครั้ง “เงียบได้แล้ว ฉันต้องการสมาธิ”
บทสนทนาภายในรถยนต์จบลงเพียงเท่านั้น ดวงตากลมหลับลงด้วยความเหนื่อยล้าและไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทน ถ้าถามเธอในตอนนี้คงเป็นคำว่ารักคำเดียว แม้รู้ดีว่าผู้เป็นสามี ‘ไม่เคยรักเธอ’ เลยก็ตาม
