ตอนที่ 9 ความเจ็บแสบของความรู้สึก ep.4
เธอมองดูเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อแขนยาว คอปิดมิดชิด กับกางเกงขายาวเอวจ้ำ สามารถสวมใส่ได้ทันทีอย่างง่ายดาย เป็นผ้าฝ้ายสีน้ำตาล แม้จะยังดูใหม่ แต่เธอรู้สึกคุ้น ๆ กับสีของเสื้อผ้า
รักษ์สิยาไม่มีเวลามากนักเธอรีบจัดการกับตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วลงไปด้านล่าง เธอรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อได้เผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ
ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทน เขาสวมเสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อนกับกางเกงเหมือนเธอสีดำ ทำให้เธออดคิดเสียไม่ได้ว่า มันคงเป็นเครื่องแบบที่เธอต้องสวมใส่ เพราะแม้แต่เขายังสวมใส่เหมือนเธอ ที่แตกต่างเห็นจะมีผ้าคาดเอวที่เขาสามารถมาคลุมศีรษะได้ในช่วงเวลาที่ต้องอยู่กลางแจ้ง
“นั่งสิ..”
น้ำเสียงทุ้มกังวานขึ้นก่อนจะยกข้อมือมองนาฬิกา
“ช้าไปสองนาที..”
เขาช้อนสายตาคมมองดวงหน้าเรียวสะอาดที่เผยเด่นเมื่อเธอรวบผมที่ยาวสยายเกือบถึงบั้นเอว ไปผูกเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง
“หวังว่าคราวหน้าจะตรงเวลา..”
เธอค่อย ๆ ช้อนสายตามองดวงหน้าสี่เหลี่ยมรู้ที่คร้ามคมแต่ว่าดูหล่อเหลา ผิวหน้าของเขาเรียบเนียนไร้ริ้วรอย แม้จะมีร่องรอยการโกนหนวดและเคราออกไป
ชายไทยที่สมสัดส่วนรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ บ่าไหล่กว้าง ศีรษะตั้งตรง ดูสง่างามและภูมิฐานด้วยความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนฯ มันทำให้เธออดที่จะชำเลืองมองเขาบ่อย ๆ เสียไม่ได้ เมื่อเห็นเขาตักอาหารเช้าทานเงียบ ๆ ไม่คิดจะใส่ใจกับเธอแม้แต่น้อย
“จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนไป..”
“ครับนายหัว..”
พฤกษ์หันไปบอกนายถาวรคนสนิทหรือเรียกว่ามือขวาของเขาก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เราจะไปอยู่ที่อื่นกัน..”
เขาบอกเธอเมื่อเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งที่ตักอาหารทานไปเพียงไม่กี่คำ และดูเหมือนเขาจะไม่รอให้เธอทานอิ่มก็เดินออกไป มีสิ่งหนึ่งที่บอกเธอว่า เธอควรจะรีบตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
“คุณคะ..นายหัว?..”
แต่เมื่อเธอเดินตามเขาออกมา ปรากฏว่าเขาขับรถจิ๊บออกไปกับนายสุกิจ คนสนิทของเขาอีกคนหนึ่ง ทำให้เธอพยายามจะร้องเรียกแล้ววิ่งตามแต่ดูเหมือนเขาจะไม่หันมาให้ความสนใจแม้แต่น้อย ทำให้เธอได้แต่ยืนมองตามเขาไปเงียบ ๆ
“นายหัวบอกว่า ให้นายผู้หญิงไปถึงที่ริมหาดในอีกหนึ่งชั่วโมง..”
“ริมหาด?..”
เธอหันมาหาเฉลา
“ค่ะ พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่นั่นกัน..”
“แล้วที่นี่ล่ะจ๊ะ..”
“บ้านหลังนี้ นายหัวจะแวะมาพักผ่อนในบางครั้งเท่านั้น..”
เฉลาพูดจบก็เดินนำหน้า พร้อมกับหยิบผ้ามาคลุมศีรษะ
“ไกลไหมจ๊ะ..”
“ประมาณสามกิโลเห็นจะได้..”
เฉลาพูดพร้อมกับเดินนำหน้าเธอไป ทำให้เธอรีบก้าวตามไปติด แต่แรก ๆ ก็ทำให้เธอเดินได้ทัน แต่พอเฉลาเลี้ยวตัดเข้าป่า เดินขึ้นที่สูง และสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เธอเริ่มอ่อนแรง
“เหลืออีกไม่กี่นาทีจะครบชั่วโมงแล้วนะนายผู้หญิง ถ้าเราไปช้ากว่าหนึ่งชั่วโมง นายหัวจะลงโทษ..เพราะนายหัวไม่ชอบให้ใครผิดเวลา และไม่ชอบคนพูดมาก..”
เฉลาตะโกนกลับมาทั้งที่อยู่ห่างกับเกือบร้อยเมตร ทำให้รักษ์สิยารีบก้าวเดินต่อ แต่เพราะหนทางเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินและรากไม้ ประกอบเธอไม่เคยได้เดินขึ้นภูเขาที่สูงแบบนี้ ทำให้เดินได้ล่าช้าและเหน็ดเหนื่อยจนแทบเป็นลม
“เฉลา เฉลา..”
เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่ รักษ์สิยาก็มองไปรอบตัวเมื่อมองไม่เห็นเฉลา แม้จะร้องเรียกก็เงียบกริบ ทำให้เธอรีบเดินต่อไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ขอเพียงมองเห็นว่าเป็นทางที่เหมือนมีการสัญจรเธอก็รีบเดินไปทันที
แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ไม่สามารถจะมองเห็นเฉลา และไม่อาจจะมองเห็นใครแม้แต่สิ่งมีชีวิต เพราะเส้นทางที่เธอเดินอยู่มันเป็นป่าทึบและรกชัฏ
“เฉลาจ๊ะ เฉลา เธออยู่ไหน..เฉลา..”
จากเช้า เลื่อนไปจนสาย เลยไปจนตะวันตรงศีรษะแล้วบ่ายคล้อย จนกระทั่งความมืดเข้ามาเยือน รักษ์สิยาก็ยังพยายามที่จะคลำทางไป แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานไปตลอดก็ตาม
จนกระทั่งเธอรู้สึกเหนื่อยล้า จึงนั่งเอนหลังพิงต้นไม้แล้วหอบหายใจถี่ ราวกับจะขาดใจ อีกทั้งความหวาดกลัวก็แล่นเข้ามาครอบครองความรู้สึกของเธอ เมื่อแว่วได้ยินเสียงเหมือนเสียงสัตว์
เธอยกมือกอดอกเมื่ออากาศเย็นลง ทั้งหิวทั้งกลัว แล้วยิ่งหวาดหวั่นเมื่อสำเหนียกได้ว่า ในยามค่ำคืนอาจจะมีสัตว์ที่ออกหาเหยื่อ หาอาหาร สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือ..งู..เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เธอกลัวสุดชีวิต
“เฉลา เธออยู่ไหน เฉลา..”
เธอพยายามร้องเรียกแต่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับออกจากที่
“คุณ นายหัว นายหัวคะ..คุณกีรติ คุณกีรติคะ ได้ยินไหมคะ คุณกีรติคะ..”
รักษ์สิยาตัดสินใจร้องเรียกเขา เพราะคิดว่าเขาน่าจะส่งคนออกติดตามค้นหาเธอ หลังจากที่เธอหายไป
