บทนำ: อัยย์ญาดา เบอร์เบิร์น วิรยาพิลาศ [สามีปีจอ]
บทนำ
อัยย์ญาดา เบอร์เบิร์น วิรยาพิลาศ
ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในสนามบินนานาชาติ ปรากฏร่างอรชรของหญิงสาวที่ถึงจะแต่งหน้าบางๆ แต่ก็สวยและสดใส บนศีรษะสวมหมวกเบเร่ต์สีน้ำตาลรับกับเสื้อโค้ตแฟชั่นกับรองเท้าบู๊ทเข้าโทน เรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลประกายทองปลิวไปตามการเคลื่อนไหว มือหนึ่งลากกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการนั่งเครื่องบินมาร่วม 10 ชั่วโมง
เมื่อรู้สึกถึงการสั่นของกระเป๋าสะพายใบเล็ก มือข้างที่ว่างอยู่ก็ขยับลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดรับสายที่เขียนว่า MoM
“ฮัลโหลค่ะแม่ อัยย์เครื่องลงแล้วค่ะ กำลังเดินไปที่ทางออก” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง
[จ้ะลูก ทอมสันรออยู่ตรงทางออกประตู 1 แล้ว]
“โอเคค่ะ ไว้เจอกันนะคะ” เธอตอบก่อนจะวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วเดินต่ออย่างกระฉับกระเฉง
ปึก!
ในตอนที่ใกล้ถึงทางออก ‘อัยย์ญาดา’ พลันชะงักเท้าเมื่อมีอะไรบางอย่างมากระทบกระเป๋า ก่อนจะหันไปเห็นผู้หญิงผมดัดลอนคนหนึ่งเซถอยหลัง ในมือประคองโทรศัพท์เคสกลิตเตอร์สีทองไว้
“เดินยังไงของคุณ!?” หล่อนเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจ ตอนแรกอัยย์ญาดาตั้งใจจะขอโทษแม้ไม่รู้ว่าตัวเองผิดจริงไหม แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจ
“ถ้าขากับรองเท้าของฉันเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ?” หล่อนไม่พูดเปล่า ยังก้มลงไปสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะหยิบสายรองเท้าสีอ่อนที่ห้อยรุ่งริ่งอยู่กับตะขอขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงดัง
“นี่ดูสิ! สายรองเท้าของฉันขาดแล้ว!”
“ขอโทษนะคะ ตอนที่ฉันลากกระเป๋าเดินมาฉันก็ดูตลอดว่าจะไปชนหรือเกะกะทางเดินใครไหม แต่ไม่เห็นคุณเลย ไม่ใช่ว่าคุณมัวแต่ก้มหน้าดูโทรศัพท์จนมาสะดุดกระเป๋าฉันเหรอคะ?” อัยย์ญาดาตอบกลับพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
“อีกอย่างที่นี่คือสนามบินนะคะ ไม่ใช่แคตวอล์ก รักจะใส่รองเท้าแบบนี้มา คุณก็ควรระวังมากกว่านี้ ฉันพูดด้วยความหวังดีนะ” เธอไม่ชอบให้มีคนเดินตามต้อยๆ เลยไม่ให้พ่อแม่จัดหาคนติดตามมาให้ แต่ตอนนี้ชักอยากได้มาจัดการผู้หญิงตรงหน้าซะแล้ว
“หน็อย!” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้โต้ตอบ ก็มีเสียงวิ้งๆ ดังมาจากโทรศัพท์ของหล่อน
“โชคดีของเธอนะที่ฉันมีธุระพอดี เลยไม่มีเวลามาเสวนาด้วย” หล่อนพูดกับอัยย์ญาดาหลังจากก้มลงดูหน้าจอ
“ฉันสิคะต้องเป็นคนพูดคำนั้น” อัยย์ญาดากล่าวเสียงเรียบขณะกวาดปรายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ดี ไม่น่าเลย...
“ฉันน่ะไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอกนะคะ” อัยย์ญาดาหยิบยกสิ่งที่คุณยายผู้ล่วงลับเคยสอนมาพูดทิ้งท้ายโดยไม่ลืมควักธนบัตรสีแดงหนึ่งใบออกมาทิ้งไว้ให้เพราะความเวทนา เท่านี้ก็ถือว่าเธอใจดีมากแล้ว จากนั้นเธอก็สะบัดผมลากกระเป๋าจากไป ไม่หันไปให้ความสนใจกับคนที่ได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ เพราะความโกรธ
ระหว่างทางก็แวะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย ก่อนจะชะงักเมื่อเดินออกมาจนใกล้ถึงจุดที่ทอมสันรออยู่แล้วเหลือบไปเห็นผู้หญิงที่เพิ่งมีเรื่องกับตนกำลังควงแขนกับผู้ชายตัวสูงล่ำหน้าตาดีคนหนึ่งพลางเอนศีรษะทำท่าฉอเลาะอย่างสนิทสนม ขณะที่ฝ่ายชายยื่นมือไปลูบศีรษะของหล่อนเบาๆ
อัยย์ญาดาอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องเพิ่มเลยเดินไปขึ้นรถหรูสีเทาเงินที่จอดรอรับ จะว่าไปก็รู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้ชายคนนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เธอเลยเลือกที่จะปล่อยผ่าน เอาเวลาไปคิดถึงคนที่รออยู่ดีกว่า
“ยินดีต้อนรับกลับไทยครับคุณหนู” ทอมสัน คนขับรถเก่าแก่ประจำคฤหาสน์กล่าวทักทาย
“ขอบใจทอมสัน” อัยย์ญาดาเอ่ยขณะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างหลังก่อนที่ทอมสันจะออกรถ ขณะที่เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่อยู่สามเดือน รอบนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปสักเท่าไร
“ฮายค่ะพ่อ ฮายค่ะแม่” เธอพูดทักทายคู่สามีภรรยาแล้วโผเข้ากอด ‘กาญจนา’ ที่อ้าแขนรอและมองสำรวจความเรียบร้อยตามเนื้อตัวลูกสาวราวกับอัยย์ญาดายังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
แม้ย่างเข้าวัยกลางคน แต่ทั้งคู่ยังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม ซึ่ง ‘เอเดรียน’ มักบอกใครต่อใครเสมอว่าเป็นเพราะความรักที่พวกเขามีให้กัน ส่วนกาญจนาเชื่อว่าเป็นเพราะบุญที่สั่งสมมาจากชาติปางก่อน ถึงจะฟังดูเป็นคำพูดที่ชวนหมั่นไส้ แต่คงจริงอย่างที่พวกเขาบอก
“อยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างลูก?”
“เหมือนเดิมค่ะ นายหญิงย่ากับทุกคนดูแลอัยย์เป็นอย่างดี แต่อัยย์ยังชอบอยู่ที่นี่กับพ่อกับแม่มากกว่า” อัยย์ญาดาตอบตามตรง ก่อนที่จะเข้าไปนั่งกินมื้อเที่ยง และตบท้ายด้วยพายแอปเปิ้ลที่กาญจนาตั้งใจทำไว้ให้
เอเดรียนนั้นเป็นลูกชายคนรองใจนักเลงของตระกูลเบอร์เบิร์น เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่แถบยุโรป ถูกมองว่านอกคอกเพราะมาพบรักกับหญิงเอเชียอย่าง ‘กาญจนา’ ซึ่งมาจากตระกูลผู้ดีเก่าของไทยตอนมาดูลู่ทางขยายสาขาโรงแรม แต่เอเดรียนก็ไม่สนใจและแต่งงานปักหลักอยู่กับกาญจนาที่นี่กระทั่งมีอัยย์ญาดา และให้ใช้นามสกุลวิรยาพิลาศของกาญจนา แม้แม่ของเธอไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับ แต่ในตอนที่นายหญิงอะแมนด้าแวะมาดูความเป็นอยู่ของเอเดรียนแล้วพบกับอัยย์ญาดา ด้วยความที่เป็นเด็กน่ารักเฉลียวฉลาด มากพรสวรรค์ นายหญิงเลยขอตัวไปอยู่ด้วยในช่วงปิดเทอม
ถึงเอเดรียนจะไม่เห็นด้วย แต่กาญจนาที่พอเข้าใจนายหญิงนั้นอนุญาตและอัยย์ญาดาก็รับอาสา เธอเลยเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และตอนนี้เธอเรียนจบปีสามแล้ว เหลือแค่เรียนอีกนิดหน่อยกับฝึกงานก็จะจบปริญญาตรี ความจริงนายหญิงอะแมนด้าเคยชวนให้เรียนมหาวิทยาลัยที่นั่นเลย แต่หญิงสาวขอเลือกเรียนที่นี่เพราะไม่อยากจากพ่อกับแม่ไปนาน
บรรยากาศดำเนินไปด้วยความสุขทั้งของพ่อแม่ อัยย์ญาดา รวมทั้งคนใช้ในบ้านเมื่อคุณหนูผู้เป็นที่รักกลับมาถึงโดยสวัสดิภาพ แต่ภายในเวลาไม่นาน สีหน้าของเอเดรียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“พวกเรามีเรื่องสำคัญจะพูดกับลูก”
“เรื่องอะไรเหรอคะ?” อัยย์ญาดาถามด้วยความสงสัย เอเดรียนกับกาญจนาหันมองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะพยักพเยิดให้ผู้เป็นพ่อพูดต่อ...
