Chapter 2 เจ้าสาวอยู่ไหน
Chapter 2 เจ้าสาวอยู่ไหน
เจ้าสาวตัดสินใจขึ้นไปยังห้องแต่งตัว ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างทอดอาลัย ยกมือกุมสร้อยเส้นเล็กที่อยู่บนลำคอระหงเหมือนต้องการกำลังใจและไออุ่นปลุกปลอบ ทั้งที่ไม่เข้ากับชุดสักนิด แต่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอขอแม่สามีสวมใส่ติดกาย
คุณหญิงรำภาอยากให้ว่าที่ลูกสะใภ้สวมชุดไพลินล้อมเพชรประจำตระกูลมากกว่า แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าสาวขอ และลูกชายนางก็เห็นดีด้วย นางจึงจำยอมปล่อยผ่านไป
“คุณไปอยู่ไหนนะพชร คุณจะยังคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า” ตะวันวาดรำพึงเสียงเบาหวิว น้ำใสเริ่มคลอหน่วยตา เมื่อหัวใจอับแสง ไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน แต่ด้วยภาระและหน้าที่ทำให้เธอจำต้องเสียสละเพื่อครอบครัว เพราะครั้งนั้นตะวันรุ้งก็เคยทำไม่ต่างจากเธอ
หญิงสาวกลอกตามองเพดานหมายจะข่มกลั้นหยาดน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งริน จึงแลเห็นโคมไฟระย้าสวยหรูราคาเรือนแสนหากกลับดูไร้ความงามในสายตาของเธอ แต่สุดท้ายตะวันวาดก็ต้องทิ้งตัวลงบนหมอนใบนุ่มเมื่อไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึกข้างในเอาไว้ได้อีกต่อไป
ห้องสูทสุดหรูที่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะถูกใช้เป็นห้องหอของคู่บ่าวสาวกลับกลายเป็นที่รองรับน้ำตาของเจ้าสาว แทนที่จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุข ตะวันวาดปล่อยให้มันหลั่งรินออกมาจนพอใจ ก่อนที่จะขยับลุกไปซับหน้าลบรอยคราบและก้าวเดินออกมาจากห้อง
ยิ่งใกล้เวลาเริ่มงานแขกก็ยิ่งทยอยมามากขึ้น ห้องจัดเลี้ยงที่กว้างขวางจึงแลดูแคบไปถนัดตา ทว่าพอใกล้เวลาพิธี บิดามารดาคู่บ่าวสาวก็เริ่มร้อนรนเพราะยังไร้เงาของทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว ยิ่งมีแขกเหรื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงสังคมชั้นสูงมาร่วมงาน คุณหญิงรำภาก็ยิ่งห่วงว่าจะโดนเอาไปนินทาลับหลัง แม้ใจอยากจะเดินออกไปตามหา แต่คงไม่ดีแน่ถ้านางจะหายออกไปจากงานอีกคน
ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเจ้าบ่าวก็เดินกลับเข้ามาในงานพอดี แต่กระนั้นก็ยังไร้เงาของเจ้าสาวที่ควรจะเดินเคียงข้างเข้ามาเหมือนอย่างคู่แต่งงานอื่น
“แล้วหนูยาหยีล่ะพัทธ์” คุณหญิงรำภาถามลูกชายประโยคแรกทันทีที่เขาเดินมาถึงตัว
“ยาหยีไม่ได้อยู่ในงานหรือครับ ผมก็มัวคุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย เพิ่งจะเดินเข้ามานี่ละครับ” เจ้าบ่าวถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจมากกว่าคือคนรออย่างร้อนรน
“แม่ไม่เห็นในงานมานานแล้วเหมือนกัน นึกว่าไปรับแขกกับลูกเสียอีก นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย” คุณหญิงรำภาบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หันกลับไปมองฝ่ายเจ้าสาวที่ละจากแขกเดินมาสมทบพอดี
“คุณอาทิตย์กับคุณพิมพาเห็นหนูยาหยีบ้างไหมคะ รับแขกอยู่ทางด้านโน้นหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ...เมื่อครู่ดิฉันเห็นยาหยียืนรับแขกอยู่หน้างาน เดี๋ยวดิฉันขอไปถามยิหวาสักครู่ เผื่อจะบอกอะไรไว้” นางพิมพาบอกพร้อมกับผละไปหาลูกสาวอีกคนที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่ไม่ไกล
“เอาอย่างนี้...วินลองไปดูที่ห้องแต่งตัวก่อน เผื่อว่ายาหยีจะไปซับหน้าเพิ่ม” รวินเพื่อนสนิทของเจ้าสาวบอกขึ้นมา ในสายตาคนภายนอกเขาคือผู้ชายมาดแมนที่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องตะวันวาด แต่ความเป็นจริงแล้วเขากลับไม่ใช่ชายอย่างที่รูปร่างภายนอกเป็น
“ดีจ้ะ แม่ฝากด้วยนะรวิน” คุณหญิงรำภาตอบรับทันที
“เอ...ยาหยีบอกหนูว่าจะไปเข้าห้องน้ำนี่คะ ยังไม่กลับมาอีกหรือ เดี๋ยวยิหวาไปตามให้อีกคน” ตะวันรุ้งเดินตามมาสมทบหลังจากที่มารดาบอกเล่าคร่าวๆ และทันได้ยินบทสนทนาพอดีจึงเสนอตัวอีกคน เพราะแขกก็มากันครบอีกทั้งก็ใกล้เวลาเข้าไปทุกทีแล้ว
ฝ่ายเจ้าบ่าวก็ผละออกไปให้เจ้าหน้าที่ของโรงแรมช่วยตามหาอีกแรง แต่หลังจากที่เดินออกไปไม่นานรวินก็เดินหน้าตื่นมา ตามด้วยตะวันรุ้ง
“บนห้องไม่เจอครับ”
“ห้องน้ำก็ไม่มีค่ะ”
“หารอบๆ งานก็ไม่เห็นครับ”
หลังจากสิ้นเสียงบอกเล่าสุดท้ายความโกลาหลก็เริ่มก่อตัวขึ้น คุณหญิงรำภายกมือทาบอกสีหน้าเคร่งเครียด รอยกังวลเกิดที่ใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากประธานในพิธีเป็นถึงรัฐมนตรี หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี
“คุณแม่กับคุณน้าทั้งสองช่วยเข้าไปในงานก่อนนะครับ ผมกลัวว่าแขกเหรื่อจะสงสัย ยิ่งนักข่าวจับตามองเราทุกฝีก้าวอย่างนี้” เจ้าบ่าวเสนอทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสียงนุ่ม องค์กรที่เขาบริหารและสังคมที่เขาอยู่ต้องอาศัยภาพลักษณ์เป็นสำคัญ
“จ้ะ” คุณหญิงรำภาตอบรับและเดินเข้าไปในงาน
หลังจากที่ผู้สูงวัยกว่าทั้งสามคนเดินเข้าไปในงาน เจ้าบ่าวก็หันกลับมามองเพื่อนหนุ่มที่หัวใจไม่หนุ่มอีกครั้ง เขาตบบ่าเพื่อนรักรุ่นน้องพร้อมบอกเป็นเชิงขอร้องให้ช่วย
“วิน...คุณช่วยรับหน้างานบนเวทีให้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะไปดูกล้อง ส่วนคุณยิหวาผมขอความกรุณาเดินไปดูที่ห้องอีกครั้ง เผื่อจะสวนทางกัน” หลังจากหันไปบอกพี่สาวเจ้าสาวเสร็จก็เดินออกไปทันที เพราะเวลากระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว
“ได้ครับ” รวินรับคำก่อนที่จะแยกไปอีกทาง
หากใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสาวที่คนในงานกำลังตามหากลับมายืนอยู่ในสวน เธออยู่ตรงนี้มานานพอสมควรแล้ว ความเหม่อลอยครุ่นคิดทำให้เธอลืมเวลาที่ขยับล่วงเลยไปทุกขณะ
ตะวันวาดยืนเหม่อมองฝ่าความมืดในสวนของโรงแรมซึ่งเป็นมุมมืดไม่มีใครสังเกตเห็นอย่างหนักใจ ลมหายใจอุ่นถูกพ่นออกจากปากอิ่มรอบแล้วรอบเล่า แม้จะพยายามทำใจยอมรับ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ยากเหลือเกินที่จะต้องทนอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รัก ทว่าเธอก็คงไม่อาจหลีกหนีความจริงพ้น
คิดถึงตรงนี้เจ้าสาวก็สูดลมหายใจเข้าปอด เธอต้องหันกลับมาเผชิญกับความจริง...สิบปีที่เธอเฝ้ารอเขาที่เงียบหายไปดั่งสายลม คงหมดหวังที่เธอจะรอ บางทีเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็เป็นได้ ถ้าหากครั้งนี้เธอไม่เสียสละครอบครัวของเธอจะเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกเขาเสียสละเพื่อเธอมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่เธอจะต้องตอบแทนบุญคุณเสียที
‘แม้ร่างกายฉันจะเป็นของคนอื่น แต่หัวใจของฉันยังเฝ้ารอคุณเสมอ นะคะ...พชร’ หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง พ่นลมออกจากจมูกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในงาน
แต่ทว่า...มันคือความรู้สึกสุดท้ายที่เธอได้รับรู้...ก่อนที่เปลือกตาจะปิดสนิทลง
