Chapter 3 แต่งงาน
กิ๊ก...ประตูไม้สักบานใหญ่ถูกปิดลง หลังจากบุคคลทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปหยิบเอกสารในกระเป๋าของตัวเอง ยื่นส่งไปให้เจ้าสัวปราณ เปิดประโยคคำถามขึ้นมาทันที
“ข้อความในจดหมายนี้หมายความว่าอย่างไรคะ”
“ก็ตามที่เห็นในเอกสารนั่นแหละ” คนเป็นปู่ตอบอย่างไม่ยีหระ โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะหยิบเอกสารในมือหลานสาวมาดู เขาต้องดึงอารมณ์ให้หลานสาวโกรธจนถึงจุดสูงสุด เพื่อจะตะล่อมให้เข้าเรื่องที่เขาต้อง
การมากที่สุด
“ปู่เล็กจะพูดง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“แกอ่านรายละเอียดในจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดรอบคอบแล้วใช่ไหม”
“อ่านจนจดจำได้ทุกตัวอักษร แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมปู่เล็กถึงต้องทำแบบนี้”
ชายชราทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง ยกมือทั้งสองข้างพาดไว้กับพนัก
“ปถวีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้กิจการทั้งหมดของปู่เจริญรุ่งเรือง”
หญิงสาวห่อปาก หันกลับมาสบตาคนเป็นปู่และเค้นเสียงเยาะออกมาจากในลำคอ
“โฮ๊ะ! ปู่เล็กใช้คำว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญจนทำให้เจริญรุ่งเรืองเลยเหรอคะ”
“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“จะรุ่งเรืองได้อย่างไรกันในเมื่อปู่เล็กต้องขายกิจการส่งออกมูลค่ามหาศาล เพื่อเอามาทำฟาร์มเกษตรบ้าบอนั่น จะเป็นไปได้อย่างไรถ้าปู่เล็กไม่หลงพวกนั้นจนยอมให้พวกเขาสูบเลือดสูบเนื้อ มิราไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเราจะใช้สมบัติที่เรามีหมดในชาตินี้”
“คนที่ไม่เข้าใจมักจะพูดออกมาแบบนี้” เจ้าสัวปราณตอบกลับ
“ทำไมจะไม่เข้าใจคะ ตอนนี้ปู่เล็กกำลังมีความสุขกับคำชื่นชมเยินยอ ปล่อยให้พวกเขาเรียกร้องจนเกินความพอดี โดยไม่รู้ว่าทรัพย์
สมบัติของตระกูลที่หามาได้กำลังจะหมดลงเพราะพวกเขา”
หญิงสาวตะโกนตอบกลับอย่าโกรธจัด
เพี๊ยะ! ฝ่ามือหนาฟาดลงบนพวงแก้มของหลานสาวดึงสติของเธอกลับคืน แม้ความแรงจะไม่มาก แต่ก็ทำให้คนที่โดนตบโกรธจนแทบสติหลุดมากกว่าเดิม
“อย่ามาก้าวร้าวปู่นะมิรา”
หญิงสาวยกมือขึ้นประคองพวงแก้มของตัวเอง ลูบเบาๆ อย่างปลอบโยน เงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นปู่ น้ำตาอาบสองแก้ม
“ปู่เล็กตบมิรา”
“ฉันตบเรียกสติแกต่างหาก การศึกษาไม่ทำให้ความคิดของคนดีขึ้นสักนิด แกรู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“หรือว่ามิราพูดไม่จริง”
“แกคิดว่าปู่เป็นเด็กอมมือหรือไง”
“มิราไม่ได้คิดว่าปู่เล็กเป็นเด็กอมมือ แต่มิรากำลังบอกว่าปู่เล็กหลงพวกนั้นจนสายตามืดบอด มองไม่เห็นความจริง”
ชายชราเค้นยิ้มออกมา
“ถ้าแกไม่อยากให้สมบัติตกไปอยู่ในมือของปถวี แกก็แต่งงานกับเขา” เจ้าสัวยังคงรักษาระดับของน้ำเสียงให้ราบเรียบ หากแต่อาการไม่ยินดียินร้ายของปู่เล็กกลับยิ่งทำให้มิรายิ่งโกรธ
“แต่มิราจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
“ไม่ยอมอะไร”
“แต่งงาน”
“นั่นก็สุดแล้วแต่แกจะตัดสินใน ที่ปู่หวังก็แค่ให้แกยอมกลับมาเซ็นรับมรดก จากนั้นแกจะบินกลับมิลานไปก็ไม่มีใครว่า ปู่อยากให้แกได้มารับรู้ และรับส่วนแบ่งในส่วนของพี่ปุราก็เท่านั้น ปู่ไม่อยากให้มีการทักทวงหรือทวงคืนทีหลัง รายละเอียดทุกอย่างตามที่ทนายของตระกูลได้ให้รายละเอียดไปแล้ว” ชายชรายังคงน้ำเสียงราบเรียบไว้เหมือนเดิม
“ปู่เล็ก” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ
“เราพูดกันด้วยเหตุและผลนะมิรา” น้ำเสียงของเจ้าสัวปราณเข้มขึ้น
“ปู่เล็กจะมามัดมือชกแบบนี้ไม่ได้ มิราไม่ยอม”
“ปู่บอกแล้วยังไงล่ะ! มิราจะแต่งหรือไม่แต่งก็ได้…” เจ้าสัวเปิดระยะให้หญิงสาวได้คิด เดินตรงมาหาหญิงสาวพร้อมกับยกสองมือวางบนบ่าของเธอบีบเบาๆ
“แกเป็นคนฉลาด ลองกลับไปคิดดูอีกครั้ง ถ้าแต่ง! ครบสองปีก็ได้สมบัติสองส่วนคือส่วนของปถวีด้วย นั่นเป็นการเอาคืนที่ชาญฉลาด หากแกไม่อยากให้เขาได้อะไร หรือถ้าไม่แต่ง สมบัติจะถูกแบ่งให้ปถวีหนึ่งส่วน และแกก็จะยังได้ในส่วนของปู่ปุราตามพินัยกรรม แต่อีกส่วนเป็นของปู่ซึ่งก็จะตกเป็นของภรรยาและลูก ทายาทโดยชอบธรรมของปู่” ชายชราบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“ไม่ได้! มิราไม่ยอมให้สมบัติไปตกอยู่ในมือปลิงเปลือกทองอย่างหมอนั่นเด็ดขาด”
“งั้นแกก็ต้องแต่ง” ชายชรายื่นคำขาด
“ไม่” มิราตอบกลับด้วยระดับน้ำเสียงไม่แตกต่างกัน
เจ้าสัวปราณสบตาหลานสาวบอกด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก เพิ่ม
ทางเลือกให้หญิงสาวอีกทาง
“ปู่ให้ทางเลือก แกจะจดทะเบียนเงียบๆ หรือ จัดพิธีใหญ่โตที่สุดแต่ไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ แต่ทุกอย่างต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและมีสัญญาอย่างถูกต้องจากทนายความประจำตระกูล” เจ้าสัวปราณบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากเดิม
ในแววตาของเจ้าสัวไม่ได้มีอาการยินดียินร้ายใดๆ ทุกความรู้สึกถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย กับรอยหยักลึกของริ้วรอยที่มีมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผลอีกต่อไป มิราก็เปลี่ยนกลับมาใช้ลูกอ้อนเหมือนเคย
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เหมือนยอมรับทุกเหตุผล กอดต้นแขนและยิ้มบางให้คนเป็นปู่ ก่อนจะซบใบหน้าลงอย่างออดอ้อน
“มิราของพักให้หายเหนื่อยและได้คิดทบทวนก่อนได้ไหมคะ อยากรู้จักย่าเล็ก อาเล็กและอาใหญ่ให้มากกว่านั้น” หญิงสาวเน้นย้ำคำว่าอาใหญ่หนักแน่น ในแววตาซ่อนรอยอาฆาตเอาไว้ โดยที่คนเป็นปู่ไม่มีโอกาสได้เห็น
เธอเพียงต้องการเวลาที่จะคิดหาทางกระชากหน้ากากของคนพวกนั้นออก แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างเธอคงใช้เวลาคิดแผนไม่นาน