ตอนที่ 4.2 ไม่คิดเดินตามแผน
“เฟิงหลิวกลับมาแล้วหรือ ? เมื่อวานเจ้าไปอยู่ไหนมาถึงได้ไม่ยอมกลับบ้าน”ฝ่ามือซึ่งกำลังดึงประตูจวนเข้ามาเพื่อปิดหยุดชะงัก หันหน้ามาสบตาสตรีที่เอ่ยทักเขา
“ท่านแม่”
“เฟิงหลิวที่เจ้าไม่ยอมกลับบ้านเพราะโมโหเรื่องที่แม่บอกให้เจ้ายกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้น้องชายเจ้าใช่ไหม”สตรีสูงวัยกล่าวพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือจับแขนบุตรชายเบา ๆ
“หลิวเอ๋อร์ลูกอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังไปเลย ตำแหน่งนี้พ่อกับแม่คาดหวังให้เจ้าได้ดูแลต่อ ที่แม่พูดก็แค่ต้องการหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง”น้ำเสียงเต็มไปด้วยนัยเจรจา ทว่าหัวใจคนฟังอย่างเฟิงหลิวกับเย็นยะเยือกจนแทบสั่นสะท้าน
ทุกอย่างเหมือนกัน ทั้งคำเอ่ยทักและคำอธิบาย เหมือนฝันที่เขาได้เห็นมาเมื่อคืน และพอเขาก้าวเข้ามาในบ้านได้ไม่นานมัก บิดาก็จะเดินจากจวนส่วนในออกมาทักทายว่า
“เฟิงหลิวกลับมาแล้วหรือลูก มา ๆ มากินข้าวได้แล้ว แม่เจ้าสั่งให้คนเตรียมอาหารที่เจ้าชอบเอาไว้มากมายเลยนะ”
สองมือใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น เฟิงหลิวใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตนเองแสดงสีหน้าออกมาก
พวกท่าน...ทำกับข้าได้ยังไงกัน ทำกับคนที่เอ่ยปากบอกว่ารักมากมายได้ยังไงกัน
เฟิงหลิวพูดไม่ออกเลย ไม่มีแรงปฏิเสธอะไรเลยด้วยซ้ำ หัวใจที่เจ็บปวดของเขาอ่อนล้าลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ทั้งที่ทำใจเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ใจกับไม่แข็งพอใจที่จะไม่รู้สึกอะไร
“ท่านพี่ เมื่อคืนที่ท่านไม่กลับบ้านท่านรู้หรือไม่ขอรับว่าท่านทำให้คนที่บ้านวุ่นวายมากแค่ไหน”
ทั้งที่เขาเป็นพี่ใหญ่ทว่าการแสดงต่ออันไร้ซึ่งความเคารพของเฟิงอี้กับไม่เคยได้รับการแก้ไขเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้บิดามารดามักจะบอกกับเขาว่า“หลิวเอ๋อร์อย่าได้ถือสาน้องเลย น้องยังเด็กไว้โตกว่านี้น้องก็จะรู้ความเอง”
เหอะ...เด็กหรือ ? เฟิงอี้อายุสิบปีแล้วจะยังเด็กอยู่ได้ยังไงกัน ตอนเขาอายุสิบปีเวลาทำเรื่องใดผิด ท่านพ่อท่านแม่มักจะเอ่ยปากต่อว่าตักเตือน แต่กับน้องชายพวกท่านไม่เคยต่อว่าด้วยวาจาแรง ๆ หรือเอ่ยสั่งสอนสักครั้ง
พอเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ เฟิงหลิวก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่เห็นในความฝันได้อีก จะบอกว่าเขาเป็นบ้าเชื่อความฝันก็ได้ แต่หากคนอื่นมาเห็นเหมือนเขาก็คงเชื่อไม่ต่างกัน เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนกับความฝันทุกประการ ไม่มีจุดไหนสามารถแย้งได้เลยว่าไม่จริง
ชายหนุ่มยอมหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ลงมือกินข้าวเงียบ ๆ ใช้สายตาสอดส่องการกระทำของพวกเขา
“หลิวเอ๋อร์กินนี่สิจ๊ะไม่ใช่ว่าเป็นจานโปรดของลูกหรือ ?”
เฟิงหลิวมองมารดาขยับมือคีบผัดเปรี้ยวหวานใส่ชามให้ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
“ขอบคุณขอรับท่านแม่”ชายหนุ่มเอ่ยตอบยิ้ม ๆ ทว่าดวงตากับวูบไหว ก้มหน้ามองชิ้นเนื้อในชามด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ไม่นานก็หายไป
เขาวางชามข้าวลงบนโต๊ะเป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้ว
อวิ๋นเมิ่งเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมกินชิ้นเนื้อที่นางคีบให้ ถึงกระนั้นใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อิ่มแล้วหรือ ? ลูกพึ่งจะ กินไปได้ไม่กี่คำเองกินเพิ่มอีกสิ หลังจากนี้ยังต้องไปฝึกวิชาต่อจะปล่อยให้ตนเองหิวไม่ได้นะ”
“ลูกอิ่มแล้วขอรับท่านแม่”และลูกก็ไม่คิดจะปล่อยให้พวกท่านมาทำร้ายลูกได้อีกแล้ว
บุญคุณที่เคยเลี้ยงดูลูกทดแทนไปแล้วในความฝัน ไม่สิบางทีสิ่งที่ฝันเห็นอาจเป็นความจริงจากเมื่อชาติก่อน ตอนนี้ลูกไม่คิดปล่อยให้ชีวิตตนเองตกต่ำอีกแล้วขอรับ
เฟิงหลิวกวาดตามองคนทั้งสาม ก่อนสายตาจะหยุดลงบนตัวมารดาขยับปากเอ่ยในสิ่งที่นางต้องการมากที่สุด
“ท่านแม่ลูกจะยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้น้องเล็กแลกกับการที่พวกท่านช่วยลงนามในสัญญาแยกบ้านให้ลูก”
คราแรกใบหน้าทั้งสองคงยังคงยิ้มแย้มเมื่อบุตรชายยอมลงให้โดยง่าย แต่เมื่อฟังจนจบประโยครอยยิ้มบนใบหน้าพลันแห้งเหือดแตกต่างจากบุตรคนเล็กที่ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านพี่ท่านคิดถูกแล้วขอรับ เป็นพี่ใหญ่เสียสละให้น้องเล็กถึงจะดีที่สุด !!”
เฟิงหลิวกระตุกมุมปาก
ตั้งแต่เฟิงอี้เกิดมานับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกชื่นชอบนิสัยมองบรรยากาศไม่ออกของอีกฝ่าย
“ท่านแม่ ท่านพ่อ รีบลงนามสัญญาแยกบ้านให้พี่ใหญ่สิขอรับ ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจะได้ตกมาเป็นของลูก”
ตามกฎของแคว้น หากบุตรชายคนโตยังอยู่ มีสติครบถ้วน บุตรคนรองไม่มีทางขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลได้ ยกเว้นก็แต่ว่าบุตรคนโตจะไม่สามารถทำหน้าที่ผู้นำตระกูลที่ดี ไม่ก็เสียชีวิต
เฟิงหลิวเก็บสีหน้ามองใบหน้ายุ่งยากใจของคนทั้งสอง
ว่าอย่างไรเล่าขอรับท่านพ่อท่านแม่ ท่านจะยอมทำตามที่ข้าร้องขอหรือจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แต่หากท่านปล่อยไปบุตรชายสุดที่รักของท่านคงเจ็บปวดใจแย่
ตอนนี้พวกท่านต้องเลือกแล้วขอรับ…
